บางจาก คอร์ปอเรชั่น ทุ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาท เทกโอเวอร์ "เอสโซ่ (ประเทศไทย)" รวมเทนเดอร์ฯ ราคาเบื้องต้น 8.84 บาท ต่ำกว่ากระดานคาดจบดีลครึ่งหลังปีนี้ ด้านราคาหุ้น BCP พุ่ง 9.45% สวนทาง ESSO ร่วงแรง หลังราคาซื้อเบื้องต้นต่ำกว่าคาดมาก
บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท วันที่ 11 ม.ค.66 เห็นชอบให้เข้าซื้อหุ้นสามัญโดยตรง จำนวน 2,283,750,000 หุ้นใน บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) หรือคิดเป็นราว 65.99% จากบริษัท Exxon Mobil Asia Holdings Pte.Ltd. โดยได้ทำสัญญาซื้อขายหุ้นแล้ว และ BCP ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดไม่เกิน 1,177,108,000 หุ้น หรือคิดเป็น 34.01% ในราคาเดียวกัน ซึ่งหากผู้ถือหุ้นทุกรายใน ESSO ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด BCP จะได้มาเท่ากับ 3,460,858,000 หุ้น หรือคิดเป็น 100% และคิดเป็นเงินประมาณ 33,312 ล้านบาท ในกรณีที่คำนวณราคาซื้อขายอ้างอิงจากงบการเงิน ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 หรือ 30,608 ล้านบาทในกรณีที่คำนวณอ้างอิงจากงบการเงิน ณ วันที่ 30 ก.ย.65 คาดว่าธุรกรรมนี้จะเป็นผลสำเร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 66
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ BCP กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้มีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง คือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ก่อให้เกิดการประหยัดเชิงขนาดและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัท โดยจะทำให้ BCP มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง สามารถดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น จัดหาน้ำมันดิบได้หลากหลายขึ้น
และได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการกลั่นที่เสริมกันของโรงกลั่นทั้งสอง และการให้บริการด้านการตลาดที่ครอบคลุมและนำเสนอบริการให้ลูกค้าได้ยิ่งขึ้นผ่านสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของพนักงาน สร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจและก่อให้เกิดการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ลูกค้า และเตรียมความพร้อมให้กลุ่มบริษัทบางจากในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
การเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวเป็นการเข้าซื้อหุ้น 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ เอสโซ่จาก ExxonMobil โดยมีมูลค่ากิจการ 55,500 ล้านบาท และมีกลไกการปรับราคาซื้อขายหุ้นตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายหุ้น ทั้งนี้ หากอ้างอิงตามงบการเงินสอบทานในไตรมาส 3/65 ของ ESSO จะได้ราคาเบื้องต้นประมาณ 8.84 บาทต่อ 1 หุ้น โดยราคาสุดท้ายจะมีการปรับตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
สำหรับแหล่งเงินทุน BCP จะใช้เงินทุนทั้งแหล่งภายนอกจากสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และจากกระแสเงินสดภายในบริษัท และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้นจาก ExxonMobil เสร็จสิ้น อนึ่ง ExxonMobil จะยังคงดำเนินธุรกิจนำเข้าผลิตภัณฑ์หล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ในประเทศไทยต่อไป
"การลงทุนครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ความมั่นคงทางพลังงานที่มากขึ้นของบางจากฯ และประเทศไทย เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น ผมเชื่อมั่นว่าการทำธุรกรรมครั้งนี้ถือเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย" นายชัยวัฒน์กล่าว
การลงทุนครั้งนี้จะส่งผลให้ BCP มีสถานะเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยพิจารณาในแง่ของกำลังการผลิตติดตั้ง (mameplate capacity) 294 พันบาร์เรลต่อวัน โดยบริษัทจะเป็นเจ้าของและผู้ประกอบกิจการโรงกลั่นซึ่งเชื่อมต่อกับทุ่นรับน้ำมันดิบกลางทะเล รองรับการรับเรือขนาด Very Large Crude Carrier : VLCCs และทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงระบบท่อส่งน้ำมันผลิตภัณฑ์หลักถึง 2 แห่ง ซึ่งจะช่วยเสริมความมั่นคงในการจัดหาพลังงานและทางเลือกให้แก่ลูกค้าและบริษัทยังมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์น้ำมันเบนซินและดีเซลรองรับในช่วงที่ราคาน้ำมันผันผวน เนื่องจากบริษัทสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี hydrocracking (KCU) and Fluidized Catalytic Cracking (FCC)
นอกจากนี้ จะช่วยให้บริษัทเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานจากการจัดหาและขนส่งน้ำมันดิบผ่านการสั่งซื้อและขนส่งน้ำมัน ทำให้มีการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงจากการบริหารจัดการ่วมกัน
บริษัทยังได้เพิ่มความสามารถพึ่งพิงตนเองและลดความจำเป็นในการนำเข้าผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง นอกจากนี้ ส่งผลให้บิรษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีโดยตรงต่อการสร้างผลตอบแทนของผลิตภัณฑ์ต่างๆ การเพิ่มมูลค่าใน High value specialty product และรวมไปถึงโอกาสในการเข้าถึงตลาดของผลิตภัณฑ์ยางมะตอยที่สามารถสร้างกำไรได้ดี และบริษัทสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับระดับความต้องการ รวมไปถึงการสร้างความตระหนักรู้ในตลาดขายส่งและลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มเติม
ขณะที่ราคาหุ้น BCP พุ่ง 9.45% หรือเพิ่มขึ้น 3.00 บาทมาที่ 34.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 243.93 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.00 น. สวนทางหุ้น ESSO ร่วงลงไป 14.41% หรือลดลง 1.60 บาท มาที่ 9.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 406.76 ล้านบาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BCP ได้แก่ 1) บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 2) สำนักงานประกันสังคม 3) กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี 4) กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย และ 5) กระทรวงการคลัง มีแนวโน้มที่จะอนุมัติการเข้าซื้อดังกล่าวเนื่องจากเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของ BCP
สำหรับการเข้าซื้อกิจการ ESSO ส่งผลให้ BCP มีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 250 KBD จากเดิม 125 KBD และทำให้มีความยืดหยุ่นในผลิตภัณฑ์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังส่งผลให้สถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 2,140 สถานี จากเดิม 1,340 สถานี และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 25% (เดิม 15%) เป็นรองจาก บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)
ขณะที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มุมมองเป็นบวกต่อดีลนี้ โดยประเด็นสำคัญคือราคาซื้อขายหุ้นที่ต่ำกว่ากระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ 12-14 บาท และต่ำกว่าราคาตลาดที่ 11.1 บาท ทำให้ใช้เม็ดเงินที่ซื้อเพียง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินของ BCP ปัจจุบันมี Net IBD/E ไม่สูง 0.65x อยู่แล้ว นอกจากนั้น ยังช่วยเพิ่มกำลังการกลั่นกว่า 140% โดย ESSO มีกำลังการกลั่น 174 พันบาร์เรล/วัน สูงกว่า BCP ที่ 123 พันบาร์เรล/วัน โดย BCP คาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพมากกว่า 2 เท่า และพัฒนาทางด้านการเติบโตของธุรกิจและการทำกำไร
ทั้งนี้ ด้วยราคาซื้อขายต่ำราคาตลาดของ ESSO อาจจะทำให้ BCP ไม่ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมเพื่อซื้อหุ้น ESSO ส่วนที่เหลือ แนะนำ "ซื้อ"