ตลาดคอนโดมิเนียม หรือบ้านจัดสรรปี 2566 มีการขยายตัวไปในทิศทางที่ดีกว่าปี 2565 เพราะปัจจัยบวกหลายอย่างที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีทิศทางที่ดีขึ้นแน่นอนเมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะเรื่องของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายความกังวลลงไปมาก อีกทั้งเรื่องของการท่องเที่ยวที่เป็นเครื่องจักรสำคัญของประเทศไทยกลับมาเดินหน้าแบบช้าๆ ปี 2565 เป็นปีแรกในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 10 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ที่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มหลักเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังคงน้อยกว่าช่วงปี 2562 แต่ก็มากกว่าปี 2563-2564 แบบชัดเจน
นายสุรเชฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นการกลับเข้าสู่ภาวะปกติแบบค่อยเป็นค่อยไป คนทำงานในธุรกิจการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร หรือบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเริ่มกลับมามีรายได้อีกครั้ง หรือเริ่มกลับขยายธุรกิจกันอีกครั้ง ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แน่นอน แม้ว่าปี 2566 อาจจะยังมีปัจจัยลบในเรื่องของเงินเฟ้อที่เกิดจากการปรับเพิ่มของราคาน้ำมัน ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ของโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศอาจจะมีผลต่อการส่งออกของประเทศไทย ซึ่งเริ่มเห็นทิศทางการชะลอตัวตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ถ้าการชะลอตัวต่อเนื่องและมากขึ้นมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 เพราะประเทศไทยส่งออกสินค้าไปต่างประเทศค่อนข้างมาก และถ้าเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศยังไม่ดีขึ้นอาจจะมีผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยเช่นกัน
ตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง หรือที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิตยังเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจ และเป็นกลุ่มของระดับราคาที่มีฐานผู้ซื้อใหญ่ที่สุดในตลาด ยังคงเป็นตลาดที่มีการขยายตัวในเรื่องของการเปิดขายโครงการใหม่ และกำลังซื้อไปได้ดีต่อเนื่องจากปี 2565 ผู้ประกอบการยังคงเปิดขายโครงการในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเนื่องทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล คอนโดมิเนียมหรือบ้านราคาไม่แพงเป็นกลุ่มของที่อยู่อาศัยที่เหมาะกำลังซื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะคนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ไม่สูงมาก และระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิตดูมีความเป็นไปได้ที่จะตอบสนองต่อกำลังซื้อหลักของประเทศไทย ซึ่งเมื่อภาวะเศรษฐกิจในปี 2566 ยังคงไม่ได้อยู่นภาวะที่บอกได้ว่าฟื้นตัวแบบชัดเจน และยังคงมีความเสี่ยงอยู่ การที่ผู้ประกอบการเองต้องการเดินหน้าเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่อง เพื่อรักษาการขายตัวของรายได้ และผลประกอบการในปี 2566 และหลังจากนั้น การเปิดขายโครงการที่สอดคล้องกับกำลังซื้อส่วนใหญ่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด และสอดคล้องกับภาวะตลาดที่สุด ซึ่ง เห็นได้จากปี 2565 ที่ผู้ประกอบการเปิดขายโครงการในกลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทค่อนข้างมาก โดยเฉพาะโครงการในระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิต รวมไปถึงมีการพูดถึงการขยายขอบเขตของราคาที่อยู่อาศัยตามเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI ให้อยู่ที่ 1.5 ล้านบาทต่อยูนิตก็ดูเป็นความสอดคล้องกับทิศทางการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยราคาไม่แพง
ทำเลกรุงเทพมหานครรอบนอกยังคงเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เพราะการเน้นเปิดขายโครงการใหม่ที่ราคาขายไม่แพง ทำเลที่สามารถพัฒนาได้ต้องเป็นทำเลในพื้นที่กรุงเทพมหานครรอบนอก หรือทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้าง และที่มีแผนจะเปิดให้บริการในปี 2566 หรือหลังจากนั้น เพราะราคาที่ดินยังคงสามารถพัฒนาโครงการราคาไม่แพงได้ โดยบางทำเลอาจจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากทั้งผู้ประกอบการ และผู้ซื้อ เช่น พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ และพื้นที่รอบๆ แหล่งงานขนาดใหญ่ เช่น นิคมอุตสาหกรรม รวมไปถึงพื้นที่ที่เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีการขยายตัวของประชากรต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และไม่ไกลจากแนวเส้นทางรถไฟฟ้า พื้นที่ฝั่งธนบุรีจะมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากขึ้น เพราะการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และอุปทานเหลือขายในหลายทำเลลดลงเมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากขึ้นแน่นอน
โครงการที่อยู่อาศัยราคาแพงหรือที่มีราคาขายมากกว่า 25-30 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปยังคงเป็นบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียม โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา เพราะความต้องการยังคงมีอยู่ อีกทั้งการแข่งขันในตลาดนี้ไม่ได้สูงมาก มีผู้ประกอบการเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถเปิดขายโครงการระดับนี้ได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคานี้ หลายโครงการที่เปิดขายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปิดการขายในเวลาไม่นาน และผู้ประกอบการยังคงมีรายชื่อหรือรับรู้ว่ามีคนที่แสดงความจำนงว่าจะซื้อบ้านในระดับราคานี้ จากการเปิดขายโครงการก่อนหน้านี้ รวมไปถึงมีรายชื่อของผู้ที่ต้องการซื้อจริงๆ แต่ติดขัดปัญหาในโครงการก่อนหน้านี้ ซึ่งกลุ่มของผู้ซื้อเหล่านี้คาดว่าสามารถกลับมาเป็นกลุ่มผู้ซื้อในโครงการใหม่ได้ในปี 2566 ดังนั้น ตลาดบ้านจัดสรรในระดับราคา 25-30 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไปยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายแพง หรือคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายต่อตารางเมตรมากกว่า 300,000 บาทขึ้นไปยังคงไม่มีการเปิดขายโครงการมากแบบที่ผ่านมา และทำเลที่เปิดขายโครงการรูปแบบนี้ยังต้องเป็นทำเลที่อยู่รอบสวนลุมพินีเท่านั้น จึงจะได้รับความสนใจ หรือถ้าไกลออกไปต้องมีรูปแบบโครงการที่โดดเด่น และไม่เหมือนใคร หรือเป็นรูปแบบโครงการที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองมากที่สุด
นายสุรเชฐ กล่าวอีกว่า กำลังซื้อคนไทยกลับมาดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ คนบางกลุ่มที่เคยขาดรายได้ หรือรายได้ลดลงเริ่มกลับมามีรายได้ และหาซื้อที่อยู่อาศัยอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่มาก แต่เป็นสัญญาณการขยายตัวที่ชัดเจน อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นมีผลต่อการตัดสินใจซื้อในระดับหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริงๆ ก็คงต้องซื้อ แม้ดอกเบี้ยอาจจะสูงขึ้นก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ธนาคารอาจจะมีมาตรการในเรื่องของดอกเบี้ยที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยช่วงแรกไม่สูงเกินไป ซึ่งต้องดูการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ด้วย เพราะอย่างไรก็ตาม ธนาคารต้องการให้มีการขอสินเชื่อมากๆ อยู่ดี การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2566 อาจจะต้องใช้การตัดสินใจ และต้องทำแบบรวดเร็วพอสมควร เพราะอัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะขึ้นถึง 2% ภายในปี 2566 ซึ่งแน่อนว่าถ้ามากถึง 2% ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ คงต้องปรับดอกเบี้ยกันอีกครั้ง และมีผลต่ออัตราการผ่อนชำระของผู้ขอสินเชื่อ การปรับเพิ่มขึ้นหรือลงของอัตราดอกเบี้ยไม่ได้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย แต่มีผลโดยตรงต่อการผ่อนชำระรายเดือน ซึ่งสอดคล้องกับรายได้ ภาระหนี้สิน และรายจ่ายรายเดือนของผู้ที่ขอสินเชื่อมากกว่า
การลดค่าจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์เหลือร้อยละ 1 และลดค่าจดจดจำนองธนาคารเหลือร้อยละ 0.01 สำหรับที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นมือ 1 หรือมือ 2 ที่มูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังเป็นการรักษาการขยายตัวของที่อยู่อาศัยในระดับราคานี้ให้ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2565 เพราะปี 2566 จะมีโครงการในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์จำนวนมาก เนื่องจากปี 2565 มีโครงการระดับราคานี้เปิดขายใหม่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะลดเพียง 1% จากอัตราปกติ (2%) แต่ก็เป็นการปรับลดลงเพื่อช่วยลดภาระของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต ไม่ว่าจะเป็นมือ 1 หรือมือ 2 ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ประกอบการอาจจะมีมาตรการทางการตลาดมาช่วยผู้ซื้อทีหลังก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะเรื่องของฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการที่ต้องการปิดการขายโดยเร็ว เพราะภาระค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่ลดลง แต่ต้องไม่ลืมว่าปี 2566 เป็นปีที่ราคาประเมินราชการมีการปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น ราคาประเมินราชการของที่อยู่อาศัยที่จะสร้างเสร็จปี 2566 อาจจะมีราคาสูงกว่าปี 2565 ซึ่งค่าโอนกรรมสิทธิ์หรือค่าจดจำนองอาจจะสูงขึ้นถ้าโครงการเสร็จปี 2566 สุดท้ายแล้ว ผู้ประกอบการอาจจะมีมาตรการทางการตลาดออกมาสร้างความน่าสนใจและกระตุ้นให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์โดยเร็วในปี 2566
ปัญหาของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องของการขอสินเชื่อธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิต เนื่องจากปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการแก้ไขไปได้แล้วบางส่วน เพราะเริ่มกลับมามีรายได้ แต่ผู้ซื้ออีกส่วนหนึ่งยังมีปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนอยู่ เพราะหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการเองมีแนวทางการแก้ไขปัญหานี้บ้างแล้ว เช่น การให้มีการทดลองขอสินเชื่อธนาคารตั้งแต่วันแรกที่ลูกค้าแสดงความสนใจซื้อ รวมไปถึงก่อนที่จะทำสัญญาจะซื้อจะขาย เพื่อให้ผู้ซื้อได้รับทราบถึงปัญหา และแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีที่ต้องการจะซื้อจริงๆ เพราะผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องของการขอสินเชื่อธนาคาร รวมไปถึงอาจจะมีการให้ผ่อนดาวน์นานขึ้นเพื่อลดมูลค่าในการขอสินเชื่อธนาคารให้ลดลง เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อผู้ซื้อโอนกรรมสิทธิ์ได้ ผู้ประกอบการได้รับเงินอยู่ดี ในทางกลับกันถ้าผู้ซื้อโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ผู้ประกอบการไม่ได้รับเงิน แม้ว่าเรื่องของการที่ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อธนาคารในกลุ่มของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงจะมีสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่ต้องไม่ลืมว่ากลุ่มของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคานี้ก็มีจำนวนมากเช่นกัน การจะหาผู้ซื้อรายใหม่เข้ามาทดแทนรายที่ไม่ผ่านการอนุมัติก็ไม่ยาก
การร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯ ของไทยและต่างชาติยังคงมีให้เห็นอยู่เช่นเดิม เพียงแต่อาจจะไม่ได้มากมาย หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้งเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ เพราะจำนวนของผู้ประกอบการที่มีการร่วมทุนกันนั้นมีมากขึ้น จนแทบจะหาความร่วมทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ไม่ได้แล้ว แต่การร่วมทุนของผู้ประกอบการต่างชาติรายเดิมที่อยู่ในประเทศไทยยังคงมีต่อเนื่อง ไม่มีการถอนทุนหรือยกเลิกการรวมทุน ยกเว้นว่าผู้ประกอบการไทยมีปัญหาเอง ผู้ประกอบการไทยยังคงต้องการผู้ประกอบการต่างชาติเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนเพื่อเป็นการการันตีเรื่องของคุณภาพของบริษัท และโครงการ รวมไปถึงเรื่องของการลดต้นทุนในการพัฒนาโครงการในฝั่งของผู้ประกอบการไทยลง แม้ว่าจะต้องแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันกับทางผู้ประกอบการต่างชาติก็ตาม แต่ดีกว่าการแบกรับความเสี่ยงไว้ด้วยตนเองแบบ 100% ผู้ประกอบการต่างชาติต้องการขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งพวกเขาทราบดีว่าผู้ประกอบการไทยนั้นมีความแข็งแกร่ง และมีความเข้าใจรวมไปถึงเชี่ยวชาญในตลาดภายในประเทศอยู่แล้ว อีกทั้งเรื่องของชื่อเสียงในตลาดประเทศไทยได้รับการยอมรับอยู่แล้ว การเข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการด้วยตนเอง ซึ่งมีความเสี่ยงมากกว่าชัดเจน ดังนั้น ยังคงมีการร่วมทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นแน่นอนในอนาคต ทั้งกับผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติรายเดิม และรายใหม่ที่จะเข้าในตลาดประเทศไทย
การขยายธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีต่อเนื่องจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งในธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เช่น ดนตรี ออแกไนเซอร์งานอีเวนต์ สุขภาพ พลังงานทดแทน เป็นต้น แต่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ และมีแนวโน้มขยายตัวชัดเจน คือ โลจิสติกส์ พลังงานทดแทน และสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับภาวการณ์ในปัจจุบันของประเทศไทย และของโลกในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยยังคงอยู่ในทำเลที่ดีในการขยายเครือข่ายการขนส่งสินค้าไปอีกหลายประเทศที่อยู่รอบประเทศไทยทั้งทางบก เรือ และอากาศ รวมไปถึงในภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก ระบบการขนส่งสินค้าสะดวก รวดเร็วมากขึ้นทั้งทางรถไฟ และรถขนส่งสินค้าทางถนน
กำลังซื้อต่างชาติยังคงไม่กลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะในกล่มผู้ซื้อคนจีนที่ยังคงติดปัญหาเรื่องของการเดินทางออกนอกประเทศที่ยังไม่สะดวกแบบก่อนเกิดโควิด-19 แต่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมรัฐบาลจีนประกาศว่าไม่ต้องมีการกักตัวสำหรับคนที่เดินทางจากต่างประเทศ และทางคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนประกาศลดระดับโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาเป็นการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการประกาศว่าการติดเชื้อโคโรนาเป็นเพียงการติดเชื้อไข้หวัด และเป็นการประกาศเปิดประเทศให้มีการเดินทางเข้าออกได้แบบปกติแล้ว หลังจากนี้ รอดูเรื่องของการจัดการภายในเรื่องของระบบขนส่งทั้งภายใน และนอกประเทศจีน โดยเฉพาะเรื่องของสายการบินที่ยังไม่กลับมาครอบคลุมแบบช่วงก่อนโควิด-19 ยังคงต้องติดตามเรื่องของการออกนอกประเทศของคนจีนต่อเนื่อง
“ถ้าช่วงตรุษจีนปี 2566 สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้สะดวกขึ้นคงเป็นข่าวดีสำหรับธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย แต่คาดว่าช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งตลาดคอนโดมิเนียมที่รอคอยกำลังซื้อคนจีนคงต้องรอต่อไปอีกระยะ แต่คนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจหรืออยู่อาศัยในประเทศไทยมาต่อเนื่องยังคงซื้อคอนโดมิเนียมและบ้านในประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา”
นายสุรเชฐ กล่าวต่อว่า แม้ว่าจะมีเรื่องของคนจีนหรือชาวต่างชาติที่ทำธุรกิจสีเทาเป็นเจ้าของบ้านหรือที่ดินในประเทศไทยแล้วมีปัญหาโดนจับกุม และตรวจสอบจนกลายเป็นประเด็นร้อนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต่อมาเรื่องนี้มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่ดินหรือบ้าน รวมไปถึงคอนโดมิเนียมของคนจีนที่ทำธุรกิจแบบถูกต้องในประเทศไทยไปด้วยเช่นกัน เพราะอาจจะต้องโดนตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้ หรือเงินที่นำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ และการใช้นิติบุคคลในการโอนกรรมสิทธิ์ด้วย แต่เชื่อว่าเมื่อเรื่องต่างๆ คลี่คลาย และลดความร้อนแรงลงคงมีการซื้อขายโดยใช้นิติบุคคลเหมือนเดิม ชาวต่างชาติอื่นๆ ที่เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยยังคงเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับกำลังซื้อของคนจีน โดยทำเลที่เป็นที่สนใจของกำลังซื้อที่เป็นกลุ่มชาวต่างชาติอื่นๆ ยังคงอยู่ในเมืองท่องเที่ยวชายทะเลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต พัทยา หรือสมุยจำนวนหนึ่ง รวมไปถึงเชียงใหม่ด้วย ในขณะที่กำลังซื้อคนจีนนั้นกระจายไปทั่วประเทศมากกว่าแบบชัดเจน
ปี 2566 น่าจะเป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องคอยจับตามอง และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ แบบช่วงปี 2565 ที่แม้ว่าจะมีปัญหาหลายอย่างทั้งภายในและภายนอกประเทศไทย แต่ผู้ประกอบการบางรายมีรายได้มากกว่าช่วงก่อนโควิด-19 และผู้ประกอบการหลายรายมีรายได้ที่เป็นบวกหรือมีกำไรที่ค่อนข้างมาก แม้ว่าปัจจัยลบจะมากขนาดไหนก็ตาม แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยมีการปรับตัว และพยายามหาช่องทางการสร้างรายได้ต่อเนื่อง ปี 2566 เป็นอีกปีที่พวกเขาต้องทำให้ได้ต่อเนื่อง เรื่องของเศรษฐกิจอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ หรือมีปัจจัยพิเศษอะไรเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ แต่เรื่องของการเลือกตั้ง และการเมืองในปี 2566 อาจจะต้องจับตาดูเป็นพิเศษ เพราะการแบ่งขั้วอำนาจ และฝ่ายทางการเมืองที่ค่อนข้างชัดเจน และมีความขัดแย้งกันรุนแรงในบางกลุ่มอาจทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองได้ในอนาคต
เศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566 อาจจะต้องจับตาดูเรื่องของธุรกิจการท่องเที่ยว และการส่งออกซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะการลงทุนภาครัฐบาลยังคงมีต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคเอกชนเดินหน้าต่อเนื่องเช่นกัน การใช้จ่ายของครัวเรือนไทยเริ่มกลับมามีมากขึ้น จากการที่ราคาน้ำมันลดลง และราคาสินค้าจำเป็นหลายอย่างยังไม่ได้มีการปรับราคามากเกินไป ซึ่งถ้าประเทศต่างๆ ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในเรื่องของการส่งออก และกลุ่มประเทศที่ประเทศไทยต้องการนักท่องเที่ยวมีภาะเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราเงินเฟ้อลดลง การส่งออก และการท่องเที่ยวของประเทศไทยอาจจะดีกว่าคิด และมีผลต่อเนื่องมาถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยเช่นกัน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะขยายตัวดีขึ้นแน่นอนเมื่อเทียบกับปี 2565
ด้าน นายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ บริษัท ธนาสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าปี 2565 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ศักยภาพของตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 จะมีสถานการณ์ที่ดีกว่าปี 2565 ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งมีผลต่อตลาด แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าศักยภาพของตลาดจะดีกว่าปี 2565 แต่จะส่งผลดีต่อกลุ่มสินค้าในแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป
โดยกลุ่มตลาดที่น่าจะมีศักยภาพมากขึ้นคือกลุ่มสินค้าที่มีเป้าหมายเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์ขยายตัวสูง เช่น กลุ่มที่จับลูกค้าจีน เนื่องจาก จีน ผ่อนคลายนโยบายการควบคุมการเดินทางออกนอกประเทศของประชาชนแล้วถึงจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทยและกลุ่มที่อยู่อาศัยที่จับกลุ่มลูกค้าชาวจีน เช่นกลุ่มคอนโดมิเนียม ซึ่งจะช่วยให้ซัปพลายคอนโดฯ ที่สะสมในตลาด มีการปรับตัวลดลง
“กลุ่มที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะมีการขยายตัวได้ดีมากในปีหน้าคือกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยระดับบ B- B+ หรือระดับราคา 6-10 ล้านบาท กลุ่มที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศของจีนคือกลุ่มคอนโดมิเนียมค้างสต๊อก หรือซัปพลายสะสมในตลาดซึ่งน่าจะมีการระบายออกได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ในปี 2566 สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาฟื้นตัว หรือขยายตัวได้ดีกว่าปี 2565”
สำหรับปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อตลาดในปีหน้าคือความผันผวนทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นผลมาจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนักเนื่องจากรัฐบาลยังควบคุมเงินเฟ้อและพยายามให้อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ ขณะที่แนวโน้มการปรับตัวดอกเบี้ย แม้จะอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นในอัตราที่สูงเช่นก่อนหน้านี้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ค่อนข้างระมัดระวังกับผลกระทบที่จะตามมามากขึ้น