ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทยธนชาตหรือทีเอ็มบีธนชาต (ttb analytics) คาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยฟื้นเร็วโตเฉียด 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2566 แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงน้อยกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ด้วยปัจจัยหนุนจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการพัฒนาใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ โดยเฉพาะเทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงการป้องกัน
ttb analytics คาดแนวโน้มรายได้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เติบโตเทียบเท่าก่อนวิกฤตโควิด-19 ได้ในปี 2566 โดยในช่วงปี 2562 ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน ซึ่งรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยเพื่อรักษาโรคควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ ในการประมาณการรายได้ในภาพรวมได้พิจารณาจากรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการคนไข้ต่างชาติ ซึ่งมีสัดส่วนราว 15% ของรายได้รวม ทำให้รายได้การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ในปี 2562 อยู่ที่ราว 2.47 หมื่นล้านบาท และรายได้ลดลงมากกว่า 100% ในช่วงวิกฤตโควิด-19
อย่างไรก็ดี ในปี 2565 เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น กอปรกับการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ 100% ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งรวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางมารักษาตัวมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ประมาณการรวมทั้งปี 2565 อยู่ที่ 10.5 ล้านคน และประมาณการรายได้ในส่วนการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เป็นเม็ดเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 80% ของรายได้เชิงการแพทย์ของปี 2562 และในปี 2566 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 22 ล้านคน นำโดยนักท่องเที่ยวจากอาเซียน เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และตะวันออกกลาง ซึ่งพบว่า กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเข้ามาเพื่อเข้ารับการรักษา หรือเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มตลาดหลักของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ดังนั้น มีแนวโน้มที่รายได้จะเติบโตต่อเนื่อง คาดอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบได้กับระดับรายได้ในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมจะอยู่แค่ 50% ของปี 2562 ก็ตาม
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเร็วเกินคาด หลังจากเปิดประเทศไปในช่วงกลางปี 2565 ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งเป็นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical Tourism) ที่ไทยได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเดินทางมาท่องเที่ยวทั่วไป โดยระบบดูแลสุขภาพของไทยติดอันดับ Top 5 ของโลก และมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่อประชากรต่ำที่สุดใน 10 ประเทศ นอกจากนี้ ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีการดูแลด้านสุขภาพที่ดี หรือมีความมั่นคงทางสุขภาพสะท้อนจาก Global Health Security (GHS) Index 2021 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยไทยอยู่ในอันดับ 5 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย ด้วยความพร้อมในการรับมือการแพร่ระบาดรวมทั้งระบบสาธารณสุขและการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลในภาพรวมอยู่ในระดับดี ขณะที่ในมุมของค่ารักษาพยาบาล พบว่า ไทยยังมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่อประชากรต่ำที่สุดใน 10 ประเทศ โดยเฉลี่ยรายละ 296 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่เกาหลีใต้อยู่ที่อันดับ 9 ด้วยค่าใช้จ่าย 3,406 ดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งด้านที่เป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ให้ภาพสอดคล้องกัน คือ ไทยติดอันดับประเทศในเอเชียที่มีรายได้สูงโดยอยู่ที่ 589 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นำหน้าเกาหลีใต้ที่อยู่ที่ 415 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และการพัฒนาใช้เทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่เป็นปัจจัยหลักหนุนการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงพาณิชย์ในอนาคต หลังวิกฤตโควิด-19 ทั่วโลกได้รับบทเรียนถึงผลกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่โรคอุบัติใหม่มีแนวโน้มที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แนวคิดการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง หรือกล่าวคือการทำให้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นกระแสที่ได้รับการตอบรับจากประชากรทั่วโลกในการใส่ใจดูแลรักษาสุขภาพ และการแสวงหาจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์ในด้านนี้จึงเป็นที่มาของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยจะมาแทนที่การท่องเที่ยวแบบดั้งเดิมจากนักท่องเที่ยวกลุ่มไฮเอนด์ที่มีคุณภาพ และกำลังซื้อสูง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2566 เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงจากปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดโดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจหลัก ทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป และจีน ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นที่มาของผู้ที่ใส่ใจสุขภาพมีแนวโน้มที่จะเดินทางไปรักษาในประเทศทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ดังนั้น จึงมองเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีศักยภาพรองรับในหลายด้าน ทั้งความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลที่ได้การรับรองตามมาตรฐานสากล และการมีค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่เปรียบเทียบแล้วยังอยู่ในระดับต่ำ ตลอดจนการปรับหลักเกณฑ์วีซ่าใหม่เพื่อหนุนให้คนไข้ต่างชาติเลือกเดินทางมาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย เช่น การให้วีซ่าพำนักระยะยาวสำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูงหรือต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณในไทยและการขยายฟรีวีซ่า 30 วันให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เพิ่มเติมล่าสุด คือ ซาอุดิฃีอาระเบีย
นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ ดึงดูดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ โดยเฉพาะการรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Care) เป็นธุรกิจที่กำลังเป็นที่นิยมและมีอัตราเติบโตสูง เนื่องจากปัจจุบันผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้น แม้ว่ายังไม่มีอาการป่วย การตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงเป็นที่นิยม เพราะหากตรวจพบโรคต่างๆ ในระยะแรกจะลดโอกาสที่โรคจะพัฒนาไปเป็นระยะรุนแรง หรือสามารถทำการรักษาได้รวดเร็ว โดยปัจจุบันมีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมาประเทศไทยเพื่อใช้บริการเทรนด์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่ง Global Wellness Institute คาดว่าธุรกิจกลุ่มนี้จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 8.1% ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่อื่นๆ เช่น การใช้เทคโนโลยีตรวจรหัสพันธุกรรม (Genes) เพื่อหาความเสี่ยงโรคพันธุกรรมเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างใหม่แต่มีศักยภาพเติบโตสูง การตรวจรหัสพันธุกรรมเป็นการตรวจหาข้อมูลสุขภาพเชิงลึกเพื่อที่ผู้ตรวจจะได้รับรู้ข้อมูลสุขภาพของตนและทำการรักษาได้ทันท่วงที การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) ช่วยทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำสามารถทำการผ่าตัดในจุดที่เข้าถึงได้ยาก และลดเวลาใช้ในการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันเราเริ่มเห็นว่าการใช้หุ่นยนต์มาช่วยในการผ่าตัดเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศไทย หลายโรงพยาบาลเริ่มนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัดมาใช้ ทั้งนี้ จากการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ของโลกที่มีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากมีการนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการรักษา คาดว่าจะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่ต้องการรับการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ และผู้ที่มีความพร้อมด้านค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยได้ในอนาคต