นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท (SVR) เปิดเผยว่า SVR เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.49% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในช่วงต้นปี 66
SVR เป็นผู้ประกอบการด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง เนื่องจากพฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีการปรับเปลี่ยนไป
นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ SVR เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเน้นเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น สะท้อนความต้องการเพื่ออยู่อาศัยจริง เลือกโครงการจากพื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชันเอื้อประโยชน์ต่อการทำงานที่บ้าน ด้วยระดับราคาไม่เกิน 5-7 ล้านบาท
จากความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ยังคงอยู่ในระดับสูง บริษัทจึงวางกลยุทธ์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบนพื้นที่ไม่เกิน 50 ไร่ เพื่อกระจายโครงการได้หลากหลายพื้นที่เหมาะสมกับความต้องการ และไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้ทุกโครงการของบริษัทขายได้หมดภายใน 1-3 ปี
จากช่วงปี 62 มีการพัฒนาโครงการ 2 โครงการ เพิ่มขึ้นเป็น 9 โครงการในปี 65 เน้นทำเลที่ตั้งโครงการที่ใกล้ชุมชน หรือแหล่งที่ทำงาน แหล่งสาธารณูปโภคทางด้านสังคม เพื่อให้ตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation ให้ได้มากที่สุด ภายใต้แนวคิด Best Smart Living ชู 4 Smart ประกอบด้วย 1.Smart Location คือทำเลเดินทางสะดวก 2.Smart Space ออกแบบให้ผู้อยู่อาศัยใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าและลงตัว 3.Smart Value ราคาคุ้มค่าที่สุด 4.Smart Home นวัตกรรมใหม่ตอบโตทย์ Lifestyle
ด้านนายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR เปิดเผยว่า จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปต่อยอดการพัฒนาโครงการด้วยการซื้อที่ดินรองรับการเติบโตในอนาคตให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
9 เดือนแรกของปี 65 บริษัทมีรายได้ 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท ขณะที่ผลงานทั้งปี 64 มีรายได้ 576 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64 ล้านบาท ปี 63 มีรายได้ 557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42 ล้านบาท และปี 62 มีรายได้ 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.39 เท่า