หลังจากเกิดกระแสความกังวลในด้านสภาพคล่อง ตลอดจนข่าวลือเชิงลบ หรือ FUD ที่เกิดขึ้นกับ Binance ซึ่งเป็นกระดานเทรดคริปโตอันดับ 1 ของโลก ว่าอาจเป็นอีกหนึ่งกระดานที่อาจล้มละลายตาม FTX ที่เกิดวิกฤติทางการเงินอย่างหนัก และกลายเป็นหายนะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมคริปโตอย่างมาก
ล่าสุด พิริยะ สัมพันธารักษ์ หรือ ตั้ม ทายาทสายตรงของลุงโฉลก สัมพันธารักษ์ กูรูด้านการลงทุนและนักลงทุนด้านสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Futures) รายแรก ๆ ของไทย ได้ให้มุมมองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อ Binance และวงการคริปโตผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย Facebook ส่วนตัวว่า “การพิจารณาความเสี่ยงนั้น เราต้องดูด้วยว่าเรากำลังพิจารณาถึงความเสี่ยงตัวไหน ถ้าความเสี่ยงที่คุณให้ความสำคัญ คือความเป็นส่วนตัว การใช้ตลาดที่มี license กลต. ย่อมไม่ใช่คำตอบที่ดีครับ คุณควรใช้ dex ใช้ ln ซื้อ bitcoin ผ่าน p2p แล้ว coinjoin เท่านั้น
ถ้าความเสี่ยงที่คุณให้ความสำคัญ คือความผันผวนของราคาในระยะสั้น แน่นอนว่า ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงกว่า ใหญ่กว่าย่อมดีกว่า
แต่ตอนนี้ เรากำลังพูดถึงความเสี่ยงจากการล้มละลายด้วยการขาดสภาพคล่องครับ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อ exchange มีการบริหารเงินผิดพลาด มีการนำเงินของลูกค้าไปใช้ผสมปนเปกับเงินส่วนอื่น ๆ (co mingling of funds) หรือในกรณีที่ exchange มีการเทรดแบบ margin / derivative แล้วอาจเกิดปัญหาใน liquidation engine หรือส่วนอื่น ๆ จนเงินใน exchange สูญหายไป
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา Binance ถูกตั้งคำถามเรื่องสภาพคล่องและ reserve บ่อยครั้ง เนื่องจากการที่ CZ ออกหน้ามาโจมตี SBF และพยายามทำ Proof of reserve นั้น ในบางมุมดูเหมือนเป็นการพยายามแสดงความแข็งแกร่งเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง จนเมื่อการตรวจสอบบัญชีครั้งล่าสุดพบปัญหาความไม่ลงตัวของยอดเงิน จึงทำให้ผู้คนแตกตื่นถอนเงินกัน
ในกรณีนี้ เมื่อมีผู้คนแห่ถอนเงินพร้อม ๆ กัน ออกมาเป็นเหรียญต่าง ๆ หรือแม้แต่เป็น USD ก็จะกลายเป็นการทดสอบ Binance ซึ่งถ้า Binance fully reserve จริง ก็จะสามารถคืนเงินให้ลูกค้าได้เมื่อมีการถอนโดยไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งจะยิ่งเป็นการย้ำความมีวินัย และความซื่อสัตย์ของ Binance ต่อไปในอนาคต (แถมยังได้กินค่าถอนฟรี ๆ อีกด้วย) ดังนั้นเรื่องดังกล่าวกลับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ Binance
แต่หลังจากมีกระแสการแห่ถอนเงินเกิดขึ้น CZ กลับออกมารณรงค์ “Stop FUD” แทนที่จะสนับสนุนการถอนเงินไปเก็บเอง จึงทำให้เป็นที่สงสัยกันมากว่า CZ มีอาการกลัวใช่หรือไม่
ในกรณีที่ Binance ไม่ Solvent คือมีเงินไม่พอเงินฝากของลูกค้า เมื่อลูกค้าแห่กันถอนเงินถึงจุดหนึ่ง ก็จะทำให้กิจการล้มละลายได้
ดังนั้นเมื่อมองความเสี่ยงในส่วนนี้ การเก็บเงินไว้ใน Binance จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย เนื่องจากถ้าคุณรัก Binance คุณจะช่วยกันถอนเงินออกเพื่อพิสูจน์ความโปร่งใสและความจริงใจของ Binance ถ้าคุณเกลียด Binance คุณจะถอนเงินออกเพื่อให้ Binance ถูกจับโป๊ะได้ และถ้าคุณรักเงินของคุณ คุณไม่ควรเอามันไปวางไว้ในมือที่สามแต่แรกอยู่แล้ว
คราวนี้มีคนบอกว่า ถอนมา Bitkub ปลอดภัยกว่ามั๊ย จึงตอบว่า ในสภาพสถานการณ์นี้ ปลอดภัยกว่าครับ เนื่องจาก Exchange ในไทยมีกฎหมายควบคุมที่เข้มงวด ไม่สามารถเปิดเทรด margin / futures/ options / perpetuals / cfds / derivatives ต่าง ๆ ได้ และจำเป็นต้องเก็บเงินของลูกค้าแยกส่วนให้ชัดเจน และยังโดนบังคับให้เก็บ 90% เอาไว้ใน cold storage เพื่อป้องกันการแฮคอีก (แน่นอนว่ารวมถึง Satang Pro ด้วยครับ และในกรณีของ Zipmex ก็เห็นได้ว่าส่วนที่อยู่ในไทยก็ปลอดภัยดี แต่ส่วนที่ลูกค้าโอนไปสิงคโปร์ระเบิดหมด)
ข้อกำหนดต่าง ๆ ทำให้ exchange ในไทย ไม่มีผลิตภัณท์ทางการเงินใด ๆ ไปแข่งขันกับใครเขาได้ แต่ในเวลาที่ทุก derivatives ทุก earning program กำลังถูกท้าทาย มันกลับกลายเป็นความมั่นคงปลอดภัยนะ แต่แน่นอนครับ Not your keys not your coins ยังไงการ self custody คือการเก็บสินทรัพย์ เก็บเงิน ไว้ใน wallet ที่เราสร้างและเก็บคีย์เองอย่างถูกต้อง ย่อมเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการเก็บรักษาเงินระยะยาว ยังไงก็ควรศึกษา ฝึกฝน และเรียนรู้การสร้าง และ เก็บรักษา private keys (seed) ให้ปลอดภัยไว้ดีที่สุดครับ เมื่อเราระแคะระคายใจเราสามารถถอนเงินออกมาเพื่อความปลอดภัยด้วยการเก็บเองก่อนได้เสมอ”
ทั้งนี้ในโพสต์ชี้แจงเหตุผลดังกล่าว ตั้ม พิริยะ ยังได้กล่าวมุมมองเปรียบเทียบไว้อย่างน่าสนใจว่า
“สุดท้าย ก็หวังว่าคนจะถอนเงินออกจาก Binance กันเยอะ ๆ ครับ เพราะถ้าไม่ล้ม เราก็จะได้มี exchange ที่เป็นมาตรฐานที่ดีได้ ถ้าล้ม ก็คือการกำจัดเนื้อรายก่อนที่มันจะใหญ่ไปกว่านี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ถือเป็นเรื่องดีทั้งสิ้นในระยะยาวครับ ถอนกันเถอะ”
สรุปนัยยะมุมมองต่อการพิจารณาความเสี่ยง ในความหมายของ "ตั้ม พิริยะ สัมพันธารักษ์"
หากเกิดความผันผวนหรือไม่มั่นคง จะด้วยสถานการณ์ตลาดเป็นอย่างไรก็ตามนักลงทุนควรเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล ไว้ในกระเป๋าดิจิทัลส่วนตัว หรือ ผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาติจากสำนักงาน ก.ล.ต.ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีความปลอดภัยมากกว่า Binance ในแง่ของการได้รับใบอนุญาติประกอบธุรกิจตามกฎหมาย (เนื่องจากในปัจจุบัน Binance ยังไม่มีใบอนุญาติประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งเมื่อเกิดเหตุความเสียหายขึ้นมา ก.ล.ต.ก็ไม่สามารถดำเนินการทางกฏหมายต่อ Binance ได้ และที่ผ่านมานักลงทุนเองที่ได้รับความเสียหาย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง ต้องยอมรับความเสี่ยงและยอมรับสภาพในความเสียหายที่เกิดขึ้นเอง โดยไม่มีการเยียวยาใดๆ) นอกจากนี้ การที่ผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยมีหลายราย ที่ได้รับใบอนุญาติ และอยู่ภายใต้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล ในกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. และมีผลิตภัณฑ์การลงทุนให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ โดยเฉพาะการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง และเข้มงวดอีกทั้งมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยของนักลงทุน เช่น margin, futures , options , perpetuals , cfds , derivatives ที่ยังมีข้อจำกัด ทำให้ไม่สามารถเปิดลงทุนได้ นอกจากนี้ การออกกฏข้อกำหนดต่อผู้ประกอบการในการพิทักษ์และคุ้มครองนักลงทุน เช่น เก็บรักษาสินทรัพย์ของลูกค้า และบริษัท ให้มีการแยกสัดส่วนอย่างชัดเจน ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงของผู้ประกอบการที่จะต้องมีการเก็บทุนสำรองไว้ไม่น่อยกว่า 90% ใน Cold Storage เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์
อย่างไรก็ดีนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงในการลงทุน และความปลอดภัยในการเลือกจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งในกระดานเทรด หรือ กระเป๋าเงินดิจิทัลทั้งแบบซอร์ฟแวร์วอลเล็ต หรือ ฮาร์ตแวร์วอลเล็ต เพื่อความปลอดภัยในการลงทุน