รัฐบาลไนจีเรียประกาศเดินหน้า CBDC ออกมาตรการเข้มควบคุมธุรกรรมเงินสด บีบประชาชนทางอ้อม ห้ามการถอนเงินสดผ่าน ATM มากกว่า $225 ต่อสัปดาห์ เพื่อบังคับใช้ CBDC ด้วยการนำสกุลเงินดิจิทัล eNaira ของธนาคารกลางไนจีเรีย (CBDC) มาใช้ ธนาคารกลางของประเทศจึงกำหนดข้อจำกัดในการถอนเงินสดเพิ่มเติมสำหรับพลเมืองของตน และออกธนบัตรใหม่อีกครั้ง เนื่องจากพยายามสนับสนุนการทำธุรกรรมทางการเงินแบบดิจิทัล
จากการเปิดเผยของ cointelegraph ระบุถึงรัฐบาลไนจีเรียที่ได้กำหนดนโยบายการลดค่าใช้จ่ายด้านการผลิตธนบัตร และเหรียญกษาปณ์ เพื่อเปลี่ยนถ่ายไปสู่ภาคเศรษฐกิจดิจิทัล โดยพยายามผลักดันมาตรการจำกัดการถือครองเงินสดส่วนบุคคลและธุรกิจให้สามารถทำธุรกรรมในกรอบวงเงินตามเพดานที่รัฐกำหนด เนื่องจากรัฐบาลพยายามผลักดันนโยบาย "ไนจีเรียไร้เงินสด" และเพิ่มการใช้ eNaira ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางของไนจีเรีย (CBDC)
ล่าสุดทางธนาคารกลางแห่งไนจีเรียได้ออกคำสั่งสำหรับธุรกิจการเงินในวันที่ 6 ธันวาคม โดยระบุว่าบุคคลและธุรกิจจะถูกจำกัดการถอนเงินจากตู้ ATM ไม่เกิน $45 (₦20,000) ต่อวันและ $225 (₦100,000) ต่อสัปดาห์
บุคคลและธุรกิจจะถูกจำกัดการถอนตามที่ธนาคารกำหนดต่อสัปดาห์ที่ 225 ดอลลาร์ (100,000 ₦ 100,000) และ 1,125 ดอลลาร์ (500,000 ₦ 500,000) ตามลำดับ โดยบุคคลทั่วไปจะถูกหักค่าธรรมเนียม 5% และธุรกิจที่มีค่าธรรมเนียม 10% สำหรับจำนวนเงินที่เกินขีดจำกัดดังกล่าว
นอกจากนี้การถอนเงินสดสูงสุดผ่านเทอร์มินัล ณ จุดขายยังจำกัดอยู่ที่ 45 ดอลลาร์ (₦ 20,000) ต่อวัน
ด้าน Haruna Mustafa ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลการธนาคาร ได้ตั้งข้อสังเกตต่อการประกาศดังกล่าวนั้นว่า
“ลูกค้าควรได้รับการสนับสนุนให้ใช้ช่องทางอื่น (บริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ต แอพธนาคารบนมือถือ USSD บัตร/POS eNaira ฯลฯ) เพื่อทำธุรกรรมที่เชื่อมโยงกับธนาคารของพวกเขา”
อย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดที่ว่านี้ คือขีดจำกัดสะสมสำหรับการถอนแต่ละครั้ง ดังนั้นบุคคลที่ถอนเงิน $45 จากตู้ ATM และพยายามถอนเงินสดจากธนาคารในวันเดียวกันจะถูกหักค่าบริการมากถึง 5%
ขณะที่ข้อจำกัดในการถอนเงินสดรายวันก่อนหน้านี้คือ 338 ดอลลาร์ (₦ 150,000) สำหรับบุคคลทั่วไป และ 1,128 ดอลลาร์ (₦ 500,000) สำหรับธุรกิจ
นอกจากนี้จากผลสำรวจถึงอัตราการยอมรับ eNaira ตั้งตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ตามรายงานของ Cointelegraph เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ธนาคารกลางแห่งไนจีเรียพยายามโน้มน้าวใจประชาชนให้ใช้ CBDC โดยมีประชากรน้อยกว่า 0.5% ที่รายงานว่ามี ใช้ eNaira ณ วันที่ 25 ตุลาคม หนึ่งปีนับจากเปิดตัว
ทั้งนี้ไนจีเรียกำหนดนโยบาย "ไม่ใช้เงินสด" มาตั้งแต่ปี 2555 โดยแนะนำว่าการเปลี่ยนจากการใช้เงินสดจะทำให้ระบบการชำระเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนของบริการธนาคาร และปรับปรุงประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. Godwin Emefiele ผู้ว่าการธนาคารกลางของไนจีเรีย ระบุว่า 85% ของ Naira ทั้งหมดที่หมุนเวียนอยู่นอกธนาคาร และเป็นผลให้ออกธนบัตรใหม่เพื่อพยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลงไปสู่การชำระเงินแบบดิจิทัล
ขณะที่จากการติดตาม CBDC จากฐานข้อมูลของ Atlantic Council ในอเมริการะบุว่า ไนจีเรียเป็นหนึ่งใน 11 ประเทศที่ปรับใช้ CBDC อย่างเต็มรูปแบบ และอีก 15 ประเทศได้เปิดตัวโครงการนำร่อง โดยอินเดียจะเข้าร่วมอันดับในปลายเดือนนี้