บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER มั่นใจปี 2565 โตตามเป้าหมายจากราคายางพาราที่ปรับขึ้นและยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัวมากขึ้น รักษาระดับอัตรากำไร 11-14% และกำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาท จ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว เผยปี 2566 ตั้งงบลงทุน 400 ล้านบาท ส่วนหนึ่ง 15% ใช้ปรับปรุงเครื่องจักร เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 510,000 ตัน/ปี พร้อมรุกตลาดอินเดียเพื่อเพิ่มยอดขายอีก 10% จากกำลังการผลิตทั้งหมด รวมทั้งเตรียมงบวิจัยและพัฒนา (R&D) 310 ล้านบาท เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าให้ดียิ่งขึ้นเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน ล่าสุดยื่นขอ BOI โรงงานผลิตงานแห่งใหม่ 3 แห่ง
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 4.6 แสนตันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.6-2.7 หมื่นล้านบาท เป็นผลจากราคายางพาราที่ปรับขึ้นและยอดส่งออกสินค้ามีความคล่องตัว สถานการณ์ตู้คอนเทนเนอร์ที่ดีขึ้น ประกอบกับมีปริมาณออเดอร์จากลูกค้ารายใหม่เพิ่มมากขึ้น เช่น อินเดีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น
ด้านแผ่นปูรองปศุสัตว์ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องจักรและเริ่มการผลิตแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทำการตลาดและได้ส่งสินค้าทดลองให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว และจะเริ่มส่งสินค้าออกไปต่างประเทศในไตรมาส 1/2566 ตามการผลิตและขายที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยมองว่าความต้องการแผ่นปูรองนอนปศุสัตว์ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
สำหรับแผนปี 2566 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 400 ล้านบาท ส่วนหนึ่ง 15% ใช้ปรับปรุงเครื่องจักร เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 510,000 ตัน/ปี รองรับการขยายตลาดอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มใหม่ที่มีการเติบโตสูง โดยมีลูกค้าใหม่ 5 ราย คาดมียอดขายจากอินเดีย 50,000 ตัน หรือ 10% ของกำลังผลิตทั้งหมด เนื่องจากตลาดอินเดียมีความต้องการใช้สินค้าสูง ส่วนหนึ่งมาจากอินโดนีเซีย เจอปัญหายางพารายืนต้นตายจำนวนมาก ทำให้ซัปพลายหายออกไปจากตลาดกว่า 10%
"บริษัทฯ มีแผนปี 2566 เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ปรับปรุงเครื่องจักรทำงานเพื่อเพิ่มกำลังผลิต มุ่งการวิจัยและพัฒนาสินค้าปลายน้ำที่ใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสสูง เพื่อสร้างการเติบโตยั่งยืนในระยะยาว คาดแผ่นยางปูรองพื้นสัตว์มีคำสั่งซื้อชัดเจน สร้างรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2566" นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า บริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าไตรมาส 1/2566 จำนวนกว่า 100,000 ตัน ของลูกค้าผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ คาดว่าปริมาณความต้องการสั่งซื้อปี 2566 ดีต่อเนื่อง และการส่งออกคล่องตัว ปัญหาค่าเงินผ่อนคลาย ซึ่งสถานการณ์ยางเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้วางเป้าหมายรักษาระดับการผลิตและการส่งออกให้ใกล้เคียงหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อน ยังไม่มีนโยบายที่จะขยายโรงงานหรือกำลังการผลิตมากนักเพราะราคายางในตลาดโลกและภายในประเทศยังมีความผันผวน คงรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนอีกระยะหนึ่ง
"แม้ว่าลูกค้าผลิตล้อยางรถยนต์รายใหญ่เพิ่มวอลุ่มสั่งซื้อล่วงหน้าถึง Q1 ปีหน้า แต่บริษัท ยังมีความกังวลการแข่งขันภายในประเทศ การขยายโรงงานเพิ่ม จึงไม่เร่งตั้งยอดรายได้ปี 2566 ขอรองบปีนี้และแผนงานปีหน้าออกก่อน แต่บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิ 11-14% และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาทไว้ ซึ่งมั่นใจรักษาระดับดังกล่าวได้แน่นอน"
การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในปี 2566 ไม่กระทบต้นทุนการผลิต เนื่องจากบริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าเอง กำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ จากโซลาร์หลังคา (รูฟท็อป) 4 เมกะวัตต์ และไฟฟ้าจากไบโอแก๊ส 4 เมกะวัตต์ รวมทั้งขณะนี้ได้ยื่นขอบีโอไอ โรงงานผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสมอีก 3 โรงในภาคอีสาน กำลังผลิตโรงละ 200,000 ตัน/ปี โดยยื่นในนามของ NER จำนวน 1 โรง ทั้งนี้ NER เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสมรายใหญ่อันดับ 1 ของภาคอีสาน ด้วยกำลังผลิต 4.6 แสนตันต่อปี และปี 2566 ปรับปรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มกำลังผลิตเป็น 5.1 แสนตัน จากกำลังผลิตเต็ม 5.6 แสนตัน