เกาะติดสถานการณ์ FTX ล่มสลาย สร้างผลกระทบธุรกิจยืมคริปโตฯล้มระเนระนาด หลัง BlockFi ประกาศยื่นล้มลายลายตามมาติด ๆ ด้าน Genesis ส่อตามมาอีกราย หลังวิ่งหาเงินระดมทุนวุ่น ขณะถูกรายใหญ่ปฏิเสธ เหตุผิดซ้ำซากตั้งแต่วิกฤต LUNA ด้าน “เทมาเส็ก” เครียดหนัก หลังเข้าหุ้น FTX แล้วเจ๊งจนนายกรัฐมนตรีโดนตั้งคำถาม
ผลกระทบจาก FTX Exchange ที่ประกาศล้มละลายภายใต้ Chapter 11 (ว่าด้วยการปรับโครงสร้างหนี้) เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 11พ.ย. ที่ผ่านมายังลุกลามต่อเนื่อง จนกล่าวได้ว่านี่คืออีกหนึ่งวิกฤตของตลาดคริปโจเคอร์เรนซีรอบที่สองของปี 2022 หลังจากวิกฤต LUNA และ TERRA ได้สร้างบาดแผลให้แก่นักลงทุนเหรียญคริปโตฯไปเมื่อช่วงครึ่งปีแรก
ล่าสุด มีรายงานว่า สำนักงานอัยการประจำเขตใต้ของรัฐนิวยอร์กในสหรัฐได้ออกคำสั่งให้นักลงทุนและบริษัทซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่มีความใกล้ชิดกับบริษัทเอฟทีเอ็กซ์ (FTX) ส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับ FTX และบุคคลสำคัญในบริษัท ซึ่งรวมถึงนายแซม แบงค์แมน-ฟรีด และนางแคโรไลน์ เอลลิสัน
โดนก.ล.ต.สหรัฐฯสอบหนัก
นอกจากนี้อัยการและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ยังได้ส่งหนังสือเรียกร้องในลักษณะเดียวกันไปยังบริษัทต่าง ๆ ที่ลงทุนใน FTX โดย SEC กำลังประเมินสถานการณ์เพื่อหาคำตอบว่า หน้าที่ตัวแทนของ FTX ได้บอกอะไรกับนักลงทุนและเพื่อประเมินว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้นำเสนอเรื่องใด ๆ แก่นักลงทุนในทางที่ผิดซึ่งเป็นการละเมิดกฎระเบียบของ SEC หรือไม่
รายงานระบุว่า เมื่อวันพฤหัสบดี ( 1 ธ.ค.) หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการล้มละลายของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐได้ขอให้คณะผู้ตรวจสอบอิสระเข้ามาดำเนินการตรวจสอบกรณีการล้มละลายของ FTX หลังจากที่หน่วยงานของสภาคองเกรสสหรัฐจะทำการตรวจสอบกรณีการล้มละลายของ FTX หลายวาระในเดือนนี้ โดยคณะกรรมาธิการบริการด้านการเงินของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะจัดการไต่สวนรอบแรกในวันที่ 13 ธ.ค.นี้
การที่ FTX ได้ยื่นเรื่องต่อศาลสหรัฐตามมาตรา 11 เพื่อขอการพิทักษ์ทรัพย์จากภาวะล้มละลาย เกิดขึ้นไม่นานหลังจากไบแนนซ์ (Binance) ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศยกเลิกข้อตกลงซื้อกิจการ FTX ทำให้มีการขุดคุ้ยสถานะทางการเงินของ Exchange รายใหญ่แห่งนี้ และพบว่ามีความไม่มั่นคงที่สูงมากจากธุรกรรมต่างๆของบริษัทในเครือ
FTX โดนสอบมาหลายเดือนก่อนล้ม
นอกจากนี้ มีรายงานว่า FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีได้ถูกเจ้าหน้าที่อัยการของเมืองแมนฮัตตันทำการตรวจสอบมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้วก่อนที่เอฟทีเอ็กซ์จะประกาศล้มละลาย ซึ่งมีการตรวจสอบบริษัทลูกของ FTX หลายแห่งที่ให้บริการซื้อขายคริปโตฯ ทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ โดยการตรวจสอบมุ่งเน้นไปยังประเด็นที่ว่า FTX ดำเนินการตามข้อกฎหมาย Bank Secrecy Act ของสหรัฐหรือไม่
ที่ผ่านมานั้น ทางการสหรัฐใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อกำหนดให้สถาบันการเงินใช้มาตรการป้องกันการฟอกเงินและการระดมเงินเพื่อการก่อการร้าย และเพื่อทำการตรวจสอบแพลตฟอร์มคริปโทฯ ที่กล่าวอ้างอย่างผิด ๆ ว่า ไม่ได้ให้บริการแก่ลูกค้าในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าอัยการได้ข้อสรุปหรือไม่หลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบเอฟทีเอ็กซ์ ก่อนที่ทางบริษัทจะยื่นขอล้มละลายและส่งผลให้ตลาดคริปโตฯ ทรุดตัวลงอย่างหนัก รวมทั้งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า FTX ดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่ในการปกป้องสินทรัพย์ของลูกค้า
“เทมาเส็ก” โดนด้วย
ด้าน “ลอว์เรนซ์ หว่อง” รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เปิดเผยว่า เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ได้เริ่มดำเนินการทบทวนเรื่องการลงทุนใน FTX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีที่ล้มละลาย หลังจากในช่วงเดือนต.ค. 2564 จนถึงเดือนม.ค. 2565 บริษัทได้ลงทุนในเอฟทีเอ็กซ์ อินเตอร์เนชันแนล (FTX International) ด้วยการถือหุ้นราว 1% และถือหุ้น 1.5% ในบริษัทเอฟทีเอ็กซ์ ยูเอส (FTX US) คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.09% ของมูลค่าพอร์ตการลงทุนสุทธิของเทมาเส็กซึ่งอยู่ที่ 4.03 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.9423 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ณ สิ้นเดือนมี.ค.ปีนี้
ที่ผ่านมา นายลี เซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และนายหว่องต้องเผชิญกับคำถามชุดใหญ่จากรัฐสภาในสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับความเสียหายของบรรดานักลงทุนรายย่อยและความรอบคอบในการตรวจสอบของบริษัทเทมาเส็ก หลังจากที่บริษัทได้เซ็นสัญญาลงทุนมูลค่า 275 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน FTX “หว่อง” กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงทุนใน FTX ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่ากังวล และทำให้รัฐบาลต้องพิจารณาหาทางแก้ไขอย่างรอบคอบ
BlockFi รายใหญ่เจ้าแรกล้มตาม FTX
ขณะที่ผลกระทบชัดเจน หลังการล้มละลายของ FTX หนีไม่พ้นกรณีของ BlockFi แพล็ตฟอร์มให้บริการสินเชื่อ คริปโตฯ ซึ่งประกาศล้มละลายตาม FTX มาอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างถึงผลกระทบความเสียหายที่เกิดขึ้นซึ่งมาจาก FTX ว่าเป็นความเสียหายล่าสุดของอุตสาหกรรม หลังการล้มละลายของการดานเทรดรายดังกล่าว
BlockFi ได้ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายในบทที่ 11 โดยการยื่นฟ้องในศาลของรัฐนิวเจอร์ซีย์เกิดขึ้นเมื่อราคาของคริปโตฯ ร่วงลงหนัก โดยเฉพาะราคาของบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้ ลดลงมากกว่า 70% จากจุดสูงสุดในปี 2021
ล่าสุด Monsur Hussain ผู้อำนวยการอาวุโสของ Fitch Ratings กล่าวว่า "การปรับโครงสร้างในบทที่ 11 ของ BlockFi เป็นการเน้นย้ำถึงความเสี่ยงในด้านผลกระทบที่สร้างความเสียหายในทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศคริปโตฯ"
สำหรับ BlockFi ก่อตั้งโดย Zac Prince ผู้บริหารด้านฟินเทคที่ผันตัวมาทำธุรกิจคริปโต ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวในการยื่นฟ้องล้มละลายว่า จากผลพวงความเสียหายของ FTX ที่เกิดขึ้นกระทบต่อแพล็ตฟอร์มคริปโตฯที่เชื่อมโยงจำนวนมาก ทำให้เกิดวิกฤตสภาพคล่อง (FTX ซึ่งก่อตั้งโดย Sam Bankman-Fried ได้ยื่นขอความคุ้มครองในสหรัฐอเมริกาในเดือนนี้ หลังจากผู้ค้าถอนเงิน 6 พันล้านดอลลาร์จากแพลตฟอร์มใน 3 วัน และ Binance บริษัทแลกเปลี่ยนคู่แข่งยกเลิกข้อตกลงช่วยเหลือ)
“แม้ว่าการเปิดเผย FTX ของลูกหนี้จะเป็นสาเหตุหลักของการยื่นฟ้องล้มละลายนี้ แต่ลูกหนี้ไม่ต้องเผชิญกับปัญหามากมายซึ่งเห็นได้ชัดว่า FTX กำลังเผชิญอยู่” Mark Renzi กรรมการผู้จัดการของ Berkeley Research Group ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่เสนอขอล้มละลายกล่าวว่า ในขณะที่ BlockFi นั้น "ค่อนข้างตรงกันข้ามและแตกต่างออกไป"
ปัญหาของ BlockFi เกิดจากกล่าววิกฤตสภาพคล่องที่มาจาก FTX ผ่านการให้กู้ยืมแก่ Alameda ซึ่งเป็นบริษัทซื้อขายคริปโตร่วมกับ FTX รวมถึงคริปโตเคอเรนซีที่ถือครองบนแพลตฟอร์มของ FTX ซึ่ง BlockFi ระบุว่ารายการสินทรัพย์ นั่นเพราะ BlockFi ได้มีการใช้วงเงินเงินกู้ไปเป็นจำนวนมาก และนำเงินไปปล่อยกู้ให้กับ Alameda Research โดยมี FTT ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเมื่อเหรียญ FTT ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก จึงทำให้ได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา BlockFi ยังได้ฟ้องบริษัทโฮลดิ้งของ Bankman-Fried เพื่อขอกู้คืนหุ้นใน Robinhood Markets Inc (HOOD.O) ที่ให้คำมั่นเป็นหลักประกันเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ BlockFi และ FTX จะยื่นขอคุ้มครองการล้มละลาย
มีรายงานว่า BlockFi ได้ขายสินทรัพย์คริอปโตฯ บางส่วนเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนเพื่อระดมทุนจากการล้มละลาย โดยยอดขายเหล่านั้นสามารถระดมเงินสดได้ 238.6 ล้านดอลลาร์ และตอนนี้ BlockFi มีเงินสดในมือ 256.5 ล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ BlockFi ระบุว่า FTX เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสอง โดยมีมูลค่า 275 ล้านดอลลาร์จากการกู้ยืมที่ขยายออกไปเมื่อต้นปีนี้ และถือเป็นหนี้ของเจ้าหนี้มากกว่า 100,000 ราย นอกจากนี้ บริษัทยังกล่าวในการยื่นเอกสารแยกต่างหากว่ามีแผนที่จะเลิกจ้างพนักงาน 2 ใน 3 จากทั้งหมด 292 คน
ขณะที่ภายใต้ข้อตกลงที่ลงนามกับ FTX ในเดือนกรกฎาคม BlockFi จะได้รับวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน 400 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ FTX มีตัวเลือกในการซื้อสูงถึง 240 ล้านดอลลาร์
การยื่นฟ้องล้มละลายของ BlockFi เกิดขึ้นหลังจากคู่แข่งที่ใหญ่ที่สุดของ BlockFi สองราย ได้แก่ Celsius Network และ Voyager Digital ยื่นฟ้องล้มละลายในเดือนกรกฎาคม โดยอ้างถึงสภาวะตลาดที่รุนแรงซึ่งนำไปสู่การขาดทุนของทั้งสองบริษัทที่ผ่านมา ธุรกิจปล่อยให้กู้คริปโตฯ ซึ่งเป็นธนาคารโดยพฤตินัยของโลกคริปโตฯ นั้นเฟื่องฟูในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 โดยดึงดูดลูกค้ารายย่อยด้วยอัตราผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก เพื่อแลกกับเงินฝากในรูปของ cryptocurrency ของพวกเขา ซึ่งผู้ให้กู้ Crypto ไม่จำเป็นต้องถือเงินทุนหรือบัฟเฟอร์สภาพคล่องเหมือนผู้ให้กู้แบบดั้งเดิม เสียจำนวนมาก
ส่วนเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของ BlockFi คือ Ankura Trust ซึ่งเป็นตัวแทนเจ้าหนี้ในสถานการณ์ตึงเครียดและเป็นหนี้ 729 ล้านดอลลาร์ และ Valar Ventures ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุนที่เชื่อมโยงกับ Peter Thiel ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น 19% ของหุ้น BlockFi
ขณะเดียวกัน BlockFi ยังระบุให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.สหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด เรียกร้องเงิน 30 ล้านดอลลาร์ ในเดือนกุมภาพันธ์ จากบริษัทลูกของ BlockFi และทางบริษัทตกลงที่จะจ่ายเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. และอีก 32 รัฐเพื่อชำระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ให้กู้ยืมคริปโตฯของนักลงทุนรายย่อยที่บริษัทเสนอให้กับนักลงทุนเกือบ 600,000 ราย
สำหรับ BlockFi ก่อตั้งขึ้นในปี 2560 โดย Prince ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท และ Flori Marquez แม้ว่าจะมีสำนักงานใหญ่ในเจอร์ซีย์ซิตี้ แต่ BlockFi ยังมีสำนักงานในนิวยอร์ก สิงคโปร์ โปแลนด์ และอาร์เจนตินา ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในเว็บไซต์
Solana มีความเสี่ยงจนโดนเบรก
ไม่เพียงเท่านี้ ผลกระทบจาก FTX ยังทำให้ Binance ประกาศเพิกถอนคู่การซื้อขาย Serum Token หรือ SRM จำนวน 3 คู่ หลังผลกระทบของการล่มสลายของ FTX ยังคงส่งผลสะเทือนต่ออุตสาหกรรมคริปโตฯ โดยการประกาศดังกล่าวระบุว่าจะ “ลบและยุติการซื้อขาย” และการแลกเปลี่ยนสำหรับคู่ SRM/BNB, SRM/BTC และ SRM/USDT
จากการเปิดเผยของ zycrypto ระบุถึงประกาศของ Binance ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลยกเลิกการซื้อขาย และการแลกเปลี่ยนสำหรับคู่เทรดว่า Serum ซึ่งเป็นโปรโตคอลการแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจบน Solana ที่สร้างขึ้นเพื่อให้ความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และลดต้นทุนการทำธุรกรรมให้ต่ำลง โดยก่อนหน้านี้ โปรโตคอลได้รับการสนับสนุนจาก Alameda Research และ FTX ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง โดยมีการแลกเปลี่ยนที่ส่งเสริมแคมเปญ SRM Airdrop รายสัปดาห์จำนวนมากสำหรับผู้ที่ถือ FTT
ล่าสุดจากข้อมูลในบล็อกโพสต์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน Solana foundation เปิดเผยว่า ถือครองโทเค็น SRM มูลค่า 134.54 ล้านดอลลาร์บน FTX ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือตลอดจนเสถียรภาพและความมั่นคงในอนาคตของโครงการ ทำให้วันต่อมาทางชุมชน Serum ได้แสดงจุดยืนด้วยการแยกโครงการเพื่อป้องกันตัวเองจากการแฮ็ก FTX มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้โทเค็นเพิ่มขึ้นกว่า 80%
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้แอปและนักพัฒนา DeFi จำนวนมากตัดสินใจยกเลิกความสัมพันธ์กับโครงการเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หลังจากการคาดเดาว่าการกระทำในลักษณะดังกล่าวนั้น เป็นการแฮ็กจากภายในองค์กรเอง ซึ่งทำให้ราคาของโทเค็นปรับตัวลดลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ดีแม้ว่า SRM จะยังคงมีปริมาณการซื้อขายที่สำคัญในการแลกเปลี่ยน Binance, Kraken และ Kucoin แต่การเชื่อมโยงไปยัง FTX ได้ตรึงราคาไว้อย่างต่อเนื่อง ณ เวลาปัจจุบัน SRM ซื้อขายที่ $0.23 หลังจากที่ลดลงกว่า 4.5% ใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยรวมแล้ว SRM ได้สูญเสียมูลค่าไปกว่า 98% จากระดับสูงสุดตลอดกาล ตามข้อมูลของแพลตฟอร์มติดตามราคา CoinMarketCap
ขณะที่ผลกระทบจากความเสียหายของ FTX ยังคงดำเนินต่อไป Solana พบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแลกเปลี่ยนที่ปราบปรามโปรโตคอลแต่ละตัวที่เชื่อมโยงกับมัน ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าหลายโครงการใน Solana ใช้สินทรัพย์ที่เรียกว่า “Sollet Assets” เพื่อทดแทน Bitcoin, Ether และสินทรัพย์เข้ารหัสอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ทำให้เชื่อกันว่า Alameda Research เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการสนับสนุนสินทรัพย์เหล่านี้ ในขณะที่ FTX ออกสินทรัพย์เหล่านี้ ดังนั้นการล่มสลายของ FTX จึงส่งผลให้การแลกเปลี่ยนมีโปรโตคอลจำนวนหนึ่งที่มีหนี้สูญ
ทั้งนี้ จากการล้มละลายของ FTX ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระบบที่เชื่อมโยงกับธุรกรรมเบื้องหลัง หรือการสนับสนุนของ Alameda Research และ FTX โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้การแลกเปลี่ยนรวมถึง Binance ประกาศว่าพวกเขาหยุดการฝาก USDC และ USDT ชั่วคราวบน Solana Chain อย่างไรก็ตาม บางส่วนจะกลับมาให้บริการในภายหลัง โดยรวมแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้สร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อราคาของ SOL ซึ่งลดลงกว่า 94% จากระดับสูงสุดตลอดกาล และตอนนี้มีความเสี่ยงที่จะตกลงสู่เลขหลักเดียวล่าสุด ณ เวลาที่เขียน SOL ซื้อขายที่ $13.62 โดยมีปริมาณการซื้อขายภายใน 24 ชั่วโมงเท่ากับ $330,322,184 USD ซึ่งใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา อันดับ CoinMarketCap ปัจจุบันคือ #15 โดยมีมูลค่าตลาดรวมเท่ากับ $4,939,211,557 USD. มีอุปทานหมุนเวียนเท่ากับ 363,157,165 เหรียญ
Genesisส่อเค้าล้มตามาติดๆ
ล่าสุด Genesis ผู้ให้กู้ยืมคริปโตรายใหญ่ระดับโลก ก็เป็นอีกรายต่อมาที่ประกาศหาทุนเพิ่มเติม รวมทั้งกรณีหุ้นคอยน์เบส (Coinbase) ที่ถูกขายปรับลดลงอย่างหนัก และเหรียญบิทคอยน์ยังมีสภาพลุ่มๆ ดอนๆ หลังจากปรับลดลงมาแรงและพยายามฉีกตัวออกจากความวุ่นวายของ FTX
ทั้งนี้ ถ้าหาก Genesis Global Trading ไม่สามารถหาเงินทุนได้อาจต้องยื่นล้มละลายตามกันไปหากไม่สามารถเจรจากับเจ้าหนี้ได้ โดยมีว่า Genesis ได้ไปขอเงินทุนจาก Binance แต่ได้รับการปฏิเสธ นอกจากนี้ยังได้มีการติดต่อไป Apollo Global Management ด้วย ซึ่งไม่แปลกที่จะถูกปฏิเสธการช่วยเหลือเพราะก่อนหน้านี้ Genesis เคยได้รับผลกระทบจากการเข้าลงทุนกับ Three Arrows Capital (3AC) ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ที่ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของอาณาจักร Terra เมื่อช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา Genesis ต้องประกาศระงับการถอนของลูกค้าในธุรกิจกู้ยืมชั่วคราว เพราะลูกค้าพากันแห่ถอนเงินออกจากแพลตฟอร์มสูงในอัตราเกินกว่าสภาพคล่องของบริษัทจะรับได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานอีกว่า Genesis ได้ขอเงินกู้ฉุกเฉินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนก่อนที่จะระงับการถอนเงินด้วย
JPMorgan คาดเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น JPMorgan ได้ออกมารายงานสรุปการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมคริปโตฯ และกฎระเบียบใหม่ หลังจากการล่มสลายของกระดานแลกเปลี่ยน FTX โดย วาณิชธนกิจระดับโลกเล็งเห็นถึงการริเริ่มด้านการถอดบทเรียนกฎระเบียบใหม่ๆ หลายประการ ซึ่งรวมถึงการมุ่งเน้นที่การดูแล การปกป้อง
โดย JPMorgan คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมคริปโตฯ หลัง FTX ประกาศล้มละลาย นั่นเพราะไม่เพียงแต่การล่มสลายของ FTX และบริษัทในเครืออย่าง Alameda Research ทำให้เกิดการล่มสลายของหน่วยงานคริปโตฯ และการระงับการถอนเงิน แต่ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อนักลงทุนและกฎระเบียบเกี่ยวกับหน่วยงานคริปโตฯ เพื่อเปิดเผย ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบดุลของพวกเขา และความคิดริเริ่มด้านกฎระเบียบที่มีอยู่ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่มีแนวโน้มที่จะถูกนำเสนอต่อไป โดยคาดว่าร่างกฎหมาย Markets in Crypto Assets (MiCA) ของสหภาพยุโรปจะได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายก่อนสิ้นปี และกฎระเบียบจะมีผลบังคับใช้ในปี 2024
ส่วนในสหรัฐอเมริกา ความคิดริเริ่มด้านกฎระเบียบดึงดูดความสนใจได้มากขึ้นหลังจากการล่มสลายของ Terra ซึ่งมันทำให้คาดเดาว่าจะมีความเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น หลังจากการล่มสลายของ FTX โดยปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการถกเถียงที่สำคัญระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ เกี่ยวกับการจำแนกประเภทของสกุลเงินดิจิทัลว่าเป็นหลักทรัพย์หรือสินค้าโภคภัณฑ์
ขณะที่ Gary Gensler ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) กล่าวว่า bitcoin เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ในขณะที่โทเค็น crypto อื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม มีการเสนอร่างกฎหมายหลายฉบับในสภาคองเกรสเพื่อให้ Commodity Futures Trading Commission (CFTC) เป็นผู้ควบคุมหลักของสินทรัพย์ Crypto
ทั้งนี้ JPMorgan เชื่อว่าความคิดริเริ่มด้านกฎระเบียบใหม่ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นโดยเน้นที่การดูแลและปกป้องทรัพย์สินดิจิทัลของลูกค้าเช่นเดียวกับในระบบการเงินแบบดั้งเดิม โดยตั้งข้อสังเกตว่านักลงทุนคริปโตฯ รายย่อยจำนวนมากได้ย้ายไปดูแล cryptocurrencies ด้วยตนเองแล้ว โดยใช้กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ ซึ่งนักยุทธศาสตร์อธิบายว่า ผู้รับประโยชน์หลักหลังจากการล่มสลายของ FTX คือผู้ดูแลคริปโตฯ ของสถาบัน และเมื่อเวลาผ่านไป custodians ที่เชื่อถือได้เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะครอบงำมากกว่า crypto-native custodians ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก หรือการแลกเปลี่ยนคริปโตฯ "
สำหรับความคิดริเริ่มด้านกฎระเบียบใหม่ มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น โดยเน้นที่การคลายกลุ่มของนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การซื้อขาย การให้ยืม การหักบัญชี และกิจกรรมการดูแลระบบการเงินแบบดั้งเดิม โดยการรวมกลุ่มนี้จะมีความหมายสำหรับการแลกเปลี่ยนเช่น FTX รวมกิจกรรมเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการปกป้องทรัพย์สินของลูกค้า การจัดการตลาด และผลประโยชน์ทับซ้อน และความคิดริเริ่มด้านกฎระเบียบใหม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นโดยเน้นที่ความโปร่งใส ซึ่งกำหนดให้มีการรายงานและการตรวจสอบเงินสำรอง สินทรัพย์ และหนี้สินอย่างสม่ำเสมอในหน่วยงานด้านการเข้ารหัสที่สำคัญ ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือธุรกิจของวาณิชธนกิจ นั่นคือตลาดตราสารอนุพันธ์คริปโตมีแนวโน้มที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นสภาพที่ถูกควบคุมได้