เอสจี แคปปิตอล หุ้น IPO น้องใหม่ที่กระแสร้อนแรงสุดๆ ในเวลานี้ มีผู้แสดงความสนใจจองซื้อเข้ามาเกินคาดหมาย พร้อมประกาศปิดจองซื้ออย่างสวยงาม ผู้บริหารเดินหน้าตามแผนระดมทุน ขยายพอร์ตสินเชื่อสู่ 50,000 ล้านบาท ในปี 2569
น.ส.บุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC กล่าวว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่เชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อ ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจาก บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ทำให้หลังจากที่บริษัทฯ เปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ในช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม การเข้ามาระดมทุนในครั้งนี้จะปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตของ SGC เพื่อรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ลูกค้า ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน และมอบคุณค่าที่มากกว่าให้สังคม สร้างการเติบโตอย่างคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น
เงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 3,104.85 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหลักทรัพย์) บริษัทฯ จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตามแผนงานที่วางไว้ โดยจะนำไปใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อเพื่อรองรับลูกค้ารายใหม่ และนำเงินทุนบางส่วนไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ 1,504.85 ล้านบาท ภายในปี 2566
และนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนไปชำระเงินกู้ยืม SINGER ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ จำนวน 1,600 ล้านบาท ภายในไตรมาส 3/2566 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท
นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม เปิดเผยถึงความสำเร็จในการเปิดจองซื้อหุ้น IPO ของ SGC ในช่วงที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับอย่างคึกคักจากนักลงทุน มองว่ามาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่ง นักลงทุนมีความเข้าใจในธุรกิจ มีความน่าเชื่อถือ ประกอบกับการกำหนดราคา IPO ที่ 3.90 บาท/หุ้น ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สนับสนุนให้หุ้น IPO ทั้งหมดจำนวน 820 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.08% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ ได้รับการจองซื้อหมดทั้งจำนวน
นางวันทนา เพชรฤกษ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวเสริมว่า SGC ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมในครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ รวมทั้งเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้เพิ่มศักยภาพธุรกิจ มุ่งเน้นนวัตกรรมทางการเงินที่หลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นของผู้บริหารในการเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างครอบคลุมทุกมิติ จึงมั่นใจว่า SGC จะเป็นอีกหุ้นพื้นฐานดีที่ไม่ควรมองข้าม และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลางเดือนธันวาคม 2565 ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า SGC
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวเสริมว่า เงินระดมทุนในครั้งนี้จะสนับสนุนให้ SGC เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสินเชื่อที่หลากหลาย ด้วยเครือข่ายที่แข็งแกร่งผ่านสาขาและสาขาแฟรนไชส์ของบริษัท รวมทั้งผสานความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับบริษัทในเครือ (Synergy) โดยมุ่งเน้นสินเชื่อประเภทให้เช่าซื้อรถยนต์แบบโอนกรรมสิทธิ์เล่มทะเบียน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ภายใต้แบรนด์ “รถทำเงิน” ที่มีการเติบโตในอัตราเร่ง โดยเฉพาะประเภทรถบรรทุก ซึ่งมีฐานลูกค้าคือกลุ่มผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ ทำให้สามารถควบคุม NPL ในพอร์ตสินเชื่อรถทำเงินอยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 1% และมีมูลค่าตลาดที่ใหญ่มาก เป็นโอกาสขยายการเติบโตให้แข็งแกร่งต่อไป
ขณะที่ภายหลังเข้าจดทะเบียน SGC จะมีฐานทุนที่ใหญ่ขึ้นด้วยต้นทุนทางการเงินที่คาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ดี และมุ่งสู่เป้าหมายพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตแตะระดับ 50,000 ล้านบาท ภายในปี 2569 หรือเติบโตต่อปีไม่ต่ำกว่า 32% จาก ณ สิ้นไตรมาส 3/2565 มีมูลค่าลูกหนี้ 15,102 ล้านบาท
ในด้านผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 SGC มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,665 ล้านบาท เติบโต 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ประกอบด้วย รายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อรถทำเงิน 46% และรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร สัดส่วน 51% ที่เหลือเป็นรายได้ดอกเบี้ยสินเชื่อสวัสดิการพนักงาน และดอกเบี้ยสินเชื่อผ่อนทองและสินเชื่ออื่นๆ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 467 ล้านบาท พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับต่ำที่ 3.7%