ดีเอสไอ ประสานสนธิกำลังหลายหน่วยงาน เปิดยุทธการ "ปราบโกงสายฟ้าฟาด" เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายกว่า 50 จุด หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากการไฟฟ้าถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้ามากผิดปกติ และถูกโกงค่าไฟฟ้า จากนักขุดเหมืองคริปโต
วันนี้( 30พ.ย.) เมื่อเวลา 09.00น.เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เข้าตรวจค้นอาคารจำนวน 3 หลังตั้งอยู่ติดกัน ภายในซอยสามัคคี 28 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี พบว่ามีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับขุดเงินสกุลดิจิทัลจำนวนมาก และมีจุดสังเกตที่บริเวณชั้น 2 และชั้น 3 ของอาคาร จะมีการดัดแปลงช่องช่องหน้าต่างเพื่อระบายความร้อน ในลักษณะคล้ายห้องอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมอุณหภูมิในการขุดสกุลเงินดิตืทัล นอกจากนี้ยังพบว่ามีการต่อเติมฝ้าเพดานเพื่อปกปิดการเดินสายไฟที่ต่อเข้ากับอาคารเอาไว้ จึงประสานเจ้าหน้าที่การไฟฟ้านครหลวงเข้าตรวจสอบ แล้วพบว่ามีการต่อสายไฟเข้าอาคารโดยตรงไม่ผ่านหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งมีความผิดตามกฏหมายในการไม่ขออนุญาติติดตั้งไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ดีเอสไอ และการไฟฟ้า พร้อมทั้งหน่วยงานด้านการปกครอง อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ โดยหลังจากนี้จะทำการหนังสือยื่นให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เอาผิดฐานละเมิดทรัพย์สินของการไฟฟ้าต่อไป
ขณะที่นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า การเข้าตรวจสอบในครั้งนี้เนื่องจากพบว่า มีบริษัทขุดสกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโตเคอเรนซี่ โกงค่าไฟฟ้า โดยใช้อาคารบ้านพักเป็นแหล่งปฎิบัติการ จำนวน 41 จุด จากการลงพื้นที่สืบสวนเพิ่มเติมตรวจพบเพิ่มเกือบ 10 จุด รวมแล้ว 50 จุด โดยจัดแรกที่เข้าตรวจค้นในวันนี้เป็นจุดสำคัญเนื่องจากเป็นจุดที่มีผู้ดูแลถือกุญแจ ในจุดต่าง ๆ ที่จะเข้าตรวจค้นในวันนี้ ซึ่งแต่ละอาคารจะมีเครื่องขุดบิทคอยน์ จำนวนกว่า 30 เครื่อง ซึ่งปกติจะต้องเสียค่าไฟขั้นต่ำเดือนละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท แต่กลับพบว่าอาคารแห่งนี้เสียค่าไฟแค่เดือนละ 300 บาท โดยลักลอบทำมานานกว่า 1 ปี หากรวมทั้งหมด 50 จุดมีจำนวนคอมพิวเตอร์มากกว่า 3,000 เครื่อง ซึ่งหากเป็นการลักลอบใช้ไฟทั้งหมด ทำให้รัฐได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีการดำเนินการตามกฏหมายโดยถึงที่สุด
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่าเจ้าของมีชื่อเป็นคนไทย และเตรียมจะขยายผลเพิ่มเติมถึงนายทุนคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ซึ่งหากพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับนายทุนต่างชาติก็จะติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป
อย่างไรก็ดีจากการตรวจค้นในครั้งนี้เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปความเสียหายได้ทั้งหมด แต่ที่สามารถดำเนินคดีได้คือข้อหาลักทรัพย์ โดยเป็นการจโมยใช้ไฟฟ้าของรัฐ ต้องถูกดำเนินทั้งคดีแพ่งและอาญา ส่วนข้อหาอื่นจะต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม และจะแถลงข่าวให้ทราบภายหลัง