xs
xsm
sm
md
lg

"ออนิกซ์ฯ" รุกธุรกิจโรงแรมรับท่องเที่ยวฟื้น จ่อลงทุน Airport Hotel ดันแบรนด์ "ชามา" สู่ผู้นำเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ เป้า 3 ปี 15 แห่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายยุทธชัย จรณะจิตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป
"กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้" ในเครืออิตัลไทย กางแผนรุกธุรกิจโรงแรมหลังท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขยายโมเดลลงทุน Airport Hotel จ่อรีแบรนด์ 'อมารี' พร้อมขยับถือหุ้นใหญ่ในโรงแรมอมารี ดอนเมือง สยายปีกสร้างพอร์ตเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ปั้นแบรนด์ “ชามา” ขึ้นแท่นผู้นำ วางเป้าเพิ่มอีก 9 แห่ง ขยายเป็น 15 แห่งในประเทศไทย ภายในปี 68 พร้อมเปิดรับพันธมิตรร่วมสร้างมูลค่าโครงการระยะยาวร่วมกัน แตะเบรกลงทุนโครงการอสังหาฯ รอปี 68 เห็นความชัดเจน ชี้จุดเด่นเป็นตลาดมีศักยภาพสูงสำหรับการสร้างกำไรของนักลงทุน มองโจทย์ใหญ่ 'รัฐบาลชุดใหม่' หลังเลือกตั้งปี 66 ต้องเร่งพลิกฟื้น ศก. สร้างงาน แก้เงินเฟ้อ บริหารดอกเบี้ย มองการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่ที่ไทยยังด้อยอยู่

"ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป" หนึ่งในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมบริการและไลฟ์สไตล์ ในเครือของบริษัทอิตัลไทย ที่ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ใหักลุ่มธุรกิจในเครืออิตัลไทยมากกว่า 5,000 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 35-37% แต่จากสถานการณ์ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ภายใต้การนำของ "ยุทธชัย จรณะจิตต์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ต้องเข้ามาปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้พร้อมและรองรับการเติบโตของธุรกิจโรงแรม โดยเป้าหมายใหญ่ที่ต้องเร่งดำเนินการในปี 2565 คือ การสร้างรายได้ และกำไรของกลุ่มออนิกซ์ฯ แม้ปี 2565 รายได้รวมจะอยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ภายในปี 2566 จะกระโดดเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท ตัวเลขใกล้เคียงกับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 

ชามา เลควิว อโศก กรุงเทพฯ
"ภาพรวมการท่องเที่ยวหลังโควิดดีขึ้นมาก ปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประมาณ 10 ล้านคน (ตามตัวเลขของ ททท.) และคาดว่าปี 2566 ตัวเลขจะดีดขึ้นมากกว่านี้ โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต ที่การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวแล้ว 90% มีผู้ใช้บริการเต็มทุกไฟลตฺบิน ซึ่งในเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา มีกลุ่มนักท่องเที่ยวใหม่เข้ามาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนเป็นจำนวนมาก เช่น รัสเซีย คาซัคสถาน อินเดีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ปัญหาตอนนี้ คือ ตั๋วไม่เพียงพอ ไฟลตฺบินยังขาดแคลนหายไปจากระบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19" นายยุทธชัย กล่าว 

แต่สำหรับภาพรวมธุรกิจโรงแรมในเครือของออนิกซ์ ยอมรับว่าช่วงเกิดโควิด-19 บุคลากรและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการในธุรกิจโรงแรมหายไปเป็นจำนวนมาก จากเดิมมีอยู่ประมาณ 4,000 คน แต่ขณะนี้คงเหลือเพียง 3,000 คน แต่หากมีการนำบุคลากรที่เป็นชาวต่างชาติจากยุโรปเข้ามาจะมีการเรียกเงินเดือนในอัตราที่สูง ส่งผลให้ปัจจุบันโรงแรมหลายแห่งหันไปใช้บุคลากรจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินเดียมากขึ้น

สำหรับแนวทางการขยายธุรกิจและกลยุทธ์ที่เราจะก้าวเดินต่อไปจากนี้ นายยุทธชัย เปิดเผยว่า มีหลายอย่างที่เราจะทำ เริ่มจากตนมีความสนใจจะพัฒนาโรงแรมในรูปแบบ Airport Hotel มากขึ้น โดยทำเลที่สนใจขณะนี้ คือ สนามบินที่เปิดให้บริการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสนามบินอู่ตะเภา สนามบินภูเก็ต เป็นต้น โดยอาจจะนำแบรนด์โอโซ่ (OZO) ซึ่งมีระดับราคาประมาณ 2,000-2,500 บาท/คืน ในการทำตลาด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

นอกจากนี้ ภายในสิ้นเดือนธันวาคมปี 65 จะมีความชัดเจนในเรื่องของการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน โรงแรมอมารีดอนเมือง
แอร์พอร์ต กรุงเทพ ซึ่งเป็นการเช่าที่ดินของกองทัพอากาศระยะยาว จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 17% ขยับเพิ่มเป็น 51% โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้น

"ถามว่าแบรนด์อมารี จะมีการปรับใหม่หรือไม่ คงต้องมี เราต้องรีแบรนด์ เช่น โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท ประตูน้ำ  โดยเราได้เตรียมงบลงทุนเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท ปรับปรุงโรงแรม เพื่อรับกับศักยภาพของทำเลประตูน้ำ ที่มีโครงการใหม่ๆ ระดับพรีเมียมเกิดขึ้น และโครงข่ายคมนาคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต"


ปักหมุดแบรนด์ 'ชามา' รุกเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์

นายยุทธชัย ยังกล่าวถึงความตั้งใจในการส่งเสริมและสร้างแบรนด์ในธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ โดยมองว่าตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่ละประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง ส่งผลให้นักธุรกิจต่างประเทศย้ายฐานเข้ามาพำนักในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศแถบอาเซียนมีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในภูมิภาค

“แม้ในช่วงโควิด-19 ระบาด แต่ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในภาพรวมของตลาดทั่วโลกกลับได้รับผลกระทบน้อย โดยยังเติบโตได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ในส่วนประเทศไทย ปัจจุบันมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยสูงกว่าร้อยละ 50 โดยเฉพาะกับกลุ่มตลาดบน ที่เป็นนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาทำงานและพำนักในประเทศไทย ซึ่งที่พักแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เช่น กลุ่มพนักงานของบริษัทญี่ปุ่น ที่มีอยู่ในประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 2 แสนคน” นายยุทธชัย กล่าว

โดยธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ทางกลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ ดำเนินการ ภายใต้แบรนด์ “ชามา” (Shama) ได้ซื้อกิจการจากบริษัทในฮ่องกงมาตั้งแต่ปี 2553 และขยายธุรกิจมาอย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและอีกหลายประเทศ ปัจจุบัน ชามาเปิดให้บริการในประเทศไทยแล้ว 6 แห่ง ได้แก่

1.ชามา เลควิว อโศก กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโครงการของบริษัท เจอาร์ คิวชู บิสิเนส ดีวีลอปเมนท์ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวน 2 อาคาร อัตราให้บริการอยู่ที่ 60,000-215,000 บาท/เดือน ลูกค้าสัดส่วน 80% จะเป็นชาวญี่ปุ่น ที่เหลือเป็นชาวยุโรปและเอเชีย โดยสัดส่วน 70-75% เป็นการเช่ารายปี และสัดส่วน 25-30% เป็นการเช่ารายเดือน

2.ชามา สุขุมวิท กรุงเทพฯ 3.ชามา สุขุมวิท 39 กรุงเทพฯ 4.ชามา เย็นอากาศ กรุงเทพฯ 5.ชามา เพชรบุรี 47 กรุงเทพฯ และ 6.ชามา เอกมัย กรุงเทพฯ รวมทั้งยังมีอีก 10 แห่งในฮ่องกงและจีน ซึ่งทั้งหมดเป็นการเข้าไปบริหารให้เจ้าของโครงการ ยกเว้นโครงการ ชามา เพชรบุรี 47 ที่ทางกลุ่มพัฒนาเองและบริหารเอง 100%

ดังนั้น กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ เล็งเห็นโอกาสการขยายธุรกิจในไทย รองรับกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาพำนักระยะยาวเพื่อทำงาน รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและชาวไทยที่ต้องการพักในระยะสั้น 5-14 วัน ที่ให้ความสำคัญกับทำเลที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก คุณภาพ บริการและความปลอดภัย โดยที่พักที่มีแบรนด์เป็นที่รู้จักจะมีความได้เปรียบในจุดนี้ แต่ตลาดในประเทศไทยส่วนใหญ่จะยังไม่มีแบรนด์ นี่จึงเป็นโอกาสอีกทั้งมองว่ากรุงเทพฯ ยังมีหลายทำเลที่มีศักยภาพในการทำเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เช่น อารีย์ พระโขนง เอกมัย อ่อนนุช พระราม 3 เป็นต้น


ทั้งนี้ ตามแผนแล้ว “ชามา” จะเปิดสาขาเพิ่มในไทยอีก 9 แห่ง จาก 6 แห่งในปัจจุบัน ให้เป็น 15 แห่งภายในปี 2568 และยังมองการลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องด้วยการเข้าไปบริหารให้พันธมิตรในประเทศมาเลเซีย ใน 2 เมือง คือ โจโฮร์บะฮ์รู และเมดีนี ขณะเดียวกันมีแผนที่จะขยายการร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่สนใจ เนื่องจากธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์มีจุดเด่นที่ต้นทุนบริหารจัดการค่อนข้างต่ำ ทำให้มี Gross Operation Profit ระดับ 60-70% ขณะที่ธุรกิจโรงแรม มี Gross Operation Profit เพียง 35-40% จึงเป็นโอกาสสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการปรับปรุงและเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์เพื่อสร้างรายได้ที่มากขึ้น รองรับโอกาสทางธุรกิจที่กำลังฟื้นตัว

นายยุทธชัย กล่าวว่า กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ พร้อมเปิดรับพันธมิตรและนักลงทุนที่สนใจทำธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ภายใต้แบรนด์ “ชามา” โดยจะให้คำปรึกษาในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ออกแบบ ก่อสร้าง ตกแต่งสถานที่ จนถึงการบริหารจัดการงานบริการ วางแผนการตลาด จัดหาฝึกอบรมพนักงาน และเชื่อมต่อด้านการตลาดร่วมกับเครือข่ายธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งปัจจุบัน “ชามา” มีการบริหารจัดการ 3 รูปแบบ คือ

1.กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ ลงทุนเองทั้งหมด 2.กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ บริหารร่วมกับผู้ที่ต้องการลงทุนในตลาดเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ (สร้างใหม่) และ 3.กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ บริหารร่วมกับเจ้าของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เดิมที่ต้องการรีแบรนด์ หรือปรับปรุงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ

“เรามีแผนที่จะผลักดันแบรนด์ชามา ให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับแบรนด์ระดับโลกได้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้เจ้าของเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ที่ทางกลุ่มเข้าไปบริหารงาน และต้องการให้แบรนด์ชามา ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในฮ่องกงและประเทศไทยในอนาคต ดังนั้น การเข้าไปบริหารเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์จะต้องเลือกพันธมิตรที่ร่วมบริหารได้ในระยะยาว”

ทั้งนี้ กลุ่มออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ เป็นบริษัทในเครืออิตัลไทย ดำเนินธุรกิจด้านบริหารจัดการโรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ และสปาชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประกอบด้วย 3 แบรนด์หลัก คือ อมารี โอโซ่ และชามา ที่มีสาขาครอบคลุมทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย จีน ฮ่องกง มัลดีฟส์ บังกลาเทศ และสปป.ลาว


มองโจทย์ใหญ่หลังเลือกตั้งปี 66
ฟื้น ศก.-แก้ปมเงินเฟ้อ-แรงงานขาดแคลน

นายยุทธชัย ยังได้กล่าวในประเด็นคำถามว่า หลังการเลือกตั้งในปี 2566 นั้น ประเด็นสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไขและให้ความสำคัญนั้น ได้แก่ 1.การบริหารและฟื้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเรามองว่าภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวยังคงมีบทบาทและความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องมองซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนต่อระบบเศรษฐกิจใหม่ คือ ส่งเสริมเรื่องดิจิทัล เพิ่มการแข่งขันในเวทีโลก

2.การบริหารจัดการเรื่องพลังงาน เพราะมีส่วนต่อการเร่งเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และป้องกันเรื่องอัตราดอกเบี้ย เพราะมีผลต่อตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ในปัจจุบันมีสัดส่วนที่สูงต่อจีดีพี รวมถึงรัฐบาลต้องเร่งสร้างงานเพื่อกระจายรายได้เข้าสู่ภาคธุรกิจ และในด้านเชิงสังคมนั้น เรื่องใหญ่คือ การศึกษา ทำอย่างไรที่จะให้คนรุ่นใหม่มีการศึกษาที่ดีขึ้น มีทักษะด้านภาษาอย่างน้อย 2 ภาษา เป็นต้น


กำลังโหลดความคิดเห็น