นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (22 พ.ย.) ที่ระดับ 36.29 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 36.23 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.15-36.40 บาท/ดอลลาร์ ความกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างทยอยลดสถานะการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เช่น Apple -2.2% Alphabet -1.9% Amazon -1.8% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -1.09% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.39% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil และ Chevron -1.0%) หลังราคาน้ำมันดิบ WTI และ Brent ต่างปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลความต้องการใช้พลังงานที่อาจลดลงจากผลกระทบของการระบาด COVID-19 ในจีน รวมถึงแนวโน้มที่กลุ่ม OPEC+ อาจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิต
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทเริ่มเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินที่หนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้น (ซึ่งในขณะเดียวกัน กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง) นอกจากนี้ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีนมีโอกาสกดดันให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ในฝั่ง Emerging Markets เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้สกุลเงินในฝั่งเอเชียเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง สอดคล้องกับทิศทางของค่าเงินหยวนจีน
นอกจากนี้ เรามองว่าควรติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด สาย “Hawkish” อย่างใกล้ชิด เนื่องจากความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดกลุ่มดังกล่าวอาจส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นได้ โดยต้องจับตาประเด็นสำคัญ ว่า เฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้จริงหรือไม่ และเฟดจะมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยไปถึงจุดไหน (Terminal Rate) โดยมุมมองของตลาดต่อจุดสูงสุดของดอกเบี้ยเฟดจะมีผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยหากตลาดกลับมากังวลว่าเฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้สูงกว่า 5.00% ไปมาก เราอาจเห็นการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงบอนด์ยิลด์ 10 ปี ไทย ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติทยอยขายทำกำไรการถือบอนด์ระยะยาวของไทยมากขึ้นและเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการอ่อนค่าของเงินบาทในวันก่อนหน้าจะเร็วและแรงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่แนวโน้มที่บรรดาผู้ส่งออกอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์รวมถึงสกุลเงินต่างประเทศในจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 36.30-36.40 บาทต่อดอลลาร์ อาจพอช่วยชะลอแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้บ้าง แต่หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าว เราประเมินว่าแนวต้านสำคัญต่อไปจะอยู่ในช่วง 36.50 บาทต่อดอลลาร์
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.06% กดดันโดยแรงเทขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น Anglo American -2.3% BP -3.8% ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น หุ้นกลุ่ม Healthcare อย่าง Novartis +1.7% Sanofi +1.3% สะท้อนมุมมองของผู้เล่นที่ระมัดระวังตัวมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าผู้เล่นในตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่แนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจนอาจแตะระดับสูงกว่า 5.00% ที่ตลาดเคยคาดการณ์ไว้ ได้ส่งผลให้บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน Sideways ใกล้ระดับ 3.83% ซึ่งเรามองว่าบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามมุมมองของตลาดต่อจุดสูงสุดของดอกเบี้ยนโยบายเฟด (Terminal Rate) ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า นักลงทุนไม่ควรไล่ราคาซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่ยิลด์ปรับตัวลดลง และควรรอจังหวะที่บอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยซื้อ เพื่อเตรียมพอร์ตการลงทุนในพร้อมรับมือแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักในปีหน้า โดยจุดที่จะทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด คือ การประชุมเฟดเดือนธันวาคม ซึ่งเฟดจะประกาศคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot ใหม่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่หนุนความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1007.8 จุด ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงใกล้โซนแนวรับแถว 1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าการปรับตัวลดลงของราคาทองคำอาจทำให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ และช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (ส่วนใหญ่เป็น FOMC Voting Members) โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งมีมุมมองสนับสนุนการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่ผ่านมา หรือมีมุมมอง “Hawkish” เช่น James Bullard, Esther George และ Loretta Mester หลังจากที่ล่าสุด เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ต่างสนับสนุนการชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่ยังคงมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดควรดำเนินต่อไปจนกว่าเฟดจะคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ