บล.ดาโอ เปิดโผหุ้นได้-เสียประโยชน์ หลังเงินบาทแข็งค่า 7.8% ในรอบ 1 เดือน มาอยู่ที่ 35.51 บาท และมีแนวโน้มแข็งค่ามากกว่าที่ประเมินไว้ มอง AAV-BGRIM เป็นหุ้นรายได้ตัวที่ได้รับประโยชน์ เหตุสัดส่วนหนี้สกุลดอลล์สูง ส่วนหุ้นรายกลุ่มที่ได้ประโยชน์ คือกลุ่มการบิน - โรงไฟฟ้า - พลังงาน - นำเข้าไอที เด่น ขณะที่หุ้นเสียประโยชน์ คือ กลุ่มอิเล็กฯ - อาหาร - เกษตร
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DAOL เปิดเผยว่า ณ วันที่ 15 พ.ย.65 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแตะระดับที่ 35.51 บาท/ดอลลาร์ กลับมาแข็งค่าราว 7.8% จากที่อ่อนค่ามากสุดในช่วงกลางเดือน ต.ค.65 ที่ราว 38.46 บาท/ดอลลาร์ นับเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 1 เดือน หลังประธานเฟดได้ส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มพิจารณาชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงปัจจัยภายในประเทศไทย ที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว หนุนให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเป็นบวก
แนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่ามากกว่าที่เคยประเมินไว้ หลังจากเงินเฟ้อสหรัฐมีทิศทางที่อ่อนตัวลง และเฟดเริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยลงในการประชุมหลังจากนี้ สอดคล้องกับเงินทุนไหลเข้าที่มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรนักลงทุนต่างชาติ กลับเข้ามาซื้อสะสม ตั้งแต่ 1-15 พ.ย. มูลค่า 76,700 ล้านบาท (YTD =182,059 ล้านบาท)
ทำให้ TH Yield 10 ปี ลงมาอยู่ที่ 2.73% ปรับตัวลงจาก 3.35% ณ สิ้น ต.ค. เช่นเดียวกับตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสะสมมูลค่า 21,362 ล้านบาท (YTD = 180,245 ล้านบาท) ด้วยทิศทางของเงินลงทุนจากต่างชาติที่กลับเข้ามา จึงทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่ามากกว่ากรอบที่เคยประเมินไว้ที่ 35.87 – 39.00 บาท/ดอลลาร์ ในช่วง Q4/65
ทั้งนี้หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากเงินบาทกลับมาแข็งค่าและมีโอกาส outperform SET ได้มากสุด ที่ DAOL ประเมินไว้ 2 บริษัทได้แก่ ได้แก่ AAV และ BGRIM
AAV (ซื้อ/เป้า 3.70 บาท) ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า โดย AAV มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายเป็นดอลลาร์ราว 60% และมีหนี้เป็นดอลลาร์ราว 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่แข็งค่าจะมี FX gain ราว 1 พันล้านบาท ขณะที่ยังได้ผลบวกจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มผลการดาเนินงาน Q4/65 มีโอกาสพลิกเป็นกำไรได้ครั้งแรกในรอบ 13 ไตรมาส แนะนำ ซื้อ หลังประกาศผลการดำเนินงาน Q3/65 ที่จะขาดทุนมาก แต่จะเป็นจุดต่ำสุดและ Q4/65 จะดีขึ้นและมีโอกาสพลิกเป็นกำไรได้ โดยเราประเมินราคาเป้าหมาย 3.70 บาท อิง PBV ปี 66 ที่ 4.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสายการบินในภูมิภาคที่ 3.5 เท่า (+0.5SD)
BGRIM (ซื้อ/เป้า 40.00 บาท) ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า โดยมีหนี้เป็นดอลลาร์ราว 350 ล้านเหรียญฯ ซึ่งทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าจะมี Fx gain ราว 350 ล้านบาท ส่วนแนวโน้ม Q4/65 คาดผลประกอบการฟื้นตัว QoQ จากการรับรู้ผลบวกปรับค่า Ft ขึ้นเต็มไตรมาส
ส่วนหุ้นที่จะเสียประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าและมีโอกาส underperform SET ได้แก่
SMPC (ถือ/เป้า 14.50 บาท), MEGA (ซื้อ/เป้า 67.00 บาท), SUN (ถือ/เป้า 4.50 บาท), TU (ซื้อ/เป้า 24.00 บาท)
เปิดโผ หุ้นรายกลุ่มได้-เสียประโยชน์ บาทแข็งค่า
นอกจากนี้ หากแยกเป็นรายอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” มีดังนี้
1) กลุ่มสายการบิน THAI, AAV, BA มีโครงสร้างต้นทุนเป็นเงินสกุลดอลลาร์ราว 60% ค่าเงินบาทแข็งค่าจะทาให้ต้นทุนลดลง
2) กลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากมีเงินกู้สกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้มีการบันทึก unrealized fx gain เข้ามา อย่างไรก็ตาม รายการดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีและไม่ได้มีผลกระทบต่อกระแสเงินสด ทั้งนี้หุ้นที่มี impact จากประเด็นดังกล่าวประกอบด้วย GULF, BGRIM, GPSC, RATCH,GUNKUL
3) กลุ่มพลังงาน เนื่องจากมี Positive net exposure ต่อการเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ต่อสกุลเงินบาท ส่งผลให้อาจจะมีการบันทึก unrealized fx gain สำหรับ PTTGC TOP IVL ขณะที่ผลกระทบต่อ PTTEP และ SPRC น่าจะมีจำกัดเพราะมีการใช้ USD เป็น functional currency
4) กลุ่ม IT Distributor SYNEX, SIS เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าโดยใช้เงิน USD ค่าเงินบาทแข็งค่าจะส่งผลดีด้านต้นทุน
ด้านกลุ่มอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะเสียประโยชน์จาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” ได้แก่
1) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง KCE -6% และ HANA -5%
2) กลุ่มอาหาร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง SUN -8%,TU -3%, GFPT -2%
3) กลุ่มเกษตร เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่จากต่างประเทศ โดยเรียงลำดับทุกการอ่อนค่า 1 บาทจะส่งผลต่อกำไรลดลง NER -3%, GFPT -2%
4) อุตสาหกรรมอื่น ที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ได้แก่ SMPC ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 8-10% MEGA ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 8% EPG ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทาให้กาไรลดลง 3-4% TOG ประเมินทุกๆ 1 บาทที่แข็งค่าทำให้กำไรลดลง 4-5%