หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -5.03 จุด โบรกฯ ชี้ปัจจัยลบต่างประเทศรอบด้านเข้ากดดันตลาด ทั้งปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ตลอดจนถึงแนวโน้มการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในจีนกลับมารุนแรงอีกรอบ มองแนวโน้มวันพรุ่งนี้ อาจไซด์เวย์ออกประเมินแนวรับที่ 1,610 จุด และแนวต้าน 1,620 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 17 พ.ย. 2565 ปรับตัวลดลง -5.03 จุด หรือ -0.31% โดยปิดตลาดที่ 1,614.95 จุด มูลค่าการซื้อขาย 59,154.40 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นในวันนี้แกว่งตัวอยู่ในแดนลบตลอดวัน โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,619.05 จุด ขณะเดียวกันก็ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,611.28 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 537 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 515 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 1,138 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +2,674.92 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +1,036.86 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -3,324.15 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -387.63 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 3,339.36 ล้านบาท ปิดที่ 29.00 บาท ลดลง 1.25 บาท
2.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,979.04 ล้านบาท ปิดที่ 62.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
3.BH มูลค่าการซื้อขาย 2,666.78 ล้านบาท ปิดที่ 213.00 บาท ลดลง 16.00 บาท
4.AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,596.74 ล้านบาท ปิดที่ 74.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
5.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,373.03 ล้านบาท ปิดที่ 33.00 บาท ลดลง 0.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.CPALL ปิดที่ 62.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 2.46%
2.INTUCH ปิดที่ 73.75 บาท เพิ่มขึ้น1.25บาท หรือ 1.72%
3.JMT ปิดที่ 66.00 บาท เพิ่มขึ้น1.00บาท หรือ 1.54%
4.CBG ปิดที่ 96.50 บาท เพิ่มขึ้น1.00 บาท หรือ 1.05%
5.SCC ปิดที่ 345.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 0.29%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BHปิดที่ 213.00 บาท ลดลง 16.00 บาท หรือ 6.99%
2.AEONTSปิดที่ 159.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.24%
3.SINGER ปิดที่ 32.00 บาท ลดลง1.50 บาท หรือ 4.48%
4.SAWADปิดที่ 41.75 บาท ลดลง1.50 บาท หรือ 3.47%
5.KBANKปิดที่ 143.50 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.03%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,204.84 จุด ลดลง -9.03 จุด หรือ -0.41% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 980.74 จุด ลดลง -3.87 จุด หรือ -0.39% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 610.91 จุด เพิ่มขึ้น 0.55 จุด หรือ 0.09%
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้บรรยากาศการลงทุนเป็นลบทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลสถานการณ์สงครามของรัสเซียและยูเครนอาจขยายวงกว้าง แม้ขีปนาวุธที่ตกในโปแลนด์ไม่ได้มาจากรัสเซียโดยตรง ขณะเดียวกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีนก็แย่ลง
ตลาดหุ้นบ้านเรารับแรงขายกลุ่มโรงพยาบาลที่ราคาปรับตัวขึ้นมามากในช่วงที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 4/65 อาจเริ่มชะลอลง ขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์ยังคงได้รับแรงกดดันจากมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อและการกำหนดเพดานดอกเบี้ย ซึ่งนักวิเคราะห์เริ่มออกมาปรับประมาณการผลประกอบการของกลุ่มนี้ลง
นอกจากนี้ยังมีแรงขายเพื่อที่จะลดความเสี่ยงก่อนที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาต่างๆ จะทยอยออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ โดยปัจจุบันเจ้าหน้าที่เฟดในแต่ละสาขายังมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยพรุ่งนี้ มองวว่ามีโอกาสจะไซด์เวย์ออกด้านข้าง เนื่องจากยังไร้ปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาหนุน แต่อย่างไรก็ตามแนะนำติดตามตัวเลข GDP ไตรมาส 3/65 ของไทยที่จะออกมาในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะออกมาดีและช่วยหนุนให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยให้แนวรับที่ 1,610 จุด และ แนวต้าน 1,620 จุด