ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ ผลงานไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 45.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 33.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 285.83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนรายได้รวมแตะ 4,091.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,253.80 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ฟาก "ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง" ส่งสัญญาณโค้งสุดท้ายภาพรวมธุรกิจยังมีศักยภาพ รันธุรกิจได้ตามแผน พร้อมการันตีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคต
น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (WP) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2565 ของกลุ่มบริษัทฯ เชื่อว่าจะเติบโตได้อย่างโดดเด่นจากไตรมาส 3/2565 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565) ที่มีกำไรสุทธิ 45.11 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.42 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา 285.83% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.69 ล้านบาท ส่วนรายได้รวมเท่ากับ 4,091.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,253.80 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.18% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,838.11 ล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ 177.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 44.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 122.61 ล้านบาท
สาเหตุที่ผลประกอบการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจตามแผนที่ได้วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้รายได้จากการขายและบริการปรับเพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายรวมของก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศเพิ่มขึ้นจากจำนวน 166,158 ตัน เป็น 193,882 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 27,724 ตัน หรือคิดเป็น 16.69% และปริมาณการขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากจำนวน 6,397 ตันเป็น 6,881 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 7.57%
สำหรับการขายในประเทศ ยอดขายส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มยานยนต์ โดยปรับตัวขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ก๊าซ LPG กลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้น รองลงมาคือ กลุ่มลูกค้าพาณิชยกรรมและกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้น 34% และ 18% ตามลำดับ นอกจากนี้ ราคาขายเฉลี่ยมีการปรับเพิ่มขึ้นจากการประกาศขึ้นราคาของภาครัฐตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายนที่ผ่านมา ในอัตราเฉลี่ยเดือนละ 0.9346 บาทต่อกิโลกรัม โดยปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ เวิลด์แก๊สอยู่ที่อันดับ 2 หรือคิดเป็น Market Share 19.02%
“ฐานะทางการเงินของกลุ่มบริษัทฯ ถือว่ายังมีความแข็งแกร่งเห็นได้จากกระแสเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดที่ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 889.39 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีกลุ่มบริษัทฯ มี EBITDA เฉลี่ยประมาณ 500-600 ล้านบาท ถือว่าเพียงพอต่อการดำเนินงานและขยายงานในอนาคต โดยบริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงมองหาโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจเพื่อขยายความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างฐานกำไรให้เติบโตอย่างมีศักยภาพในระยะยาว” น.ส.ชมกมล กล่าว