นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายน 2565 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และการส่งออก อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างใกล้ชิด
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ในเดือนกันยายน 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 34.9% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล -0.1% สำหรับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนกันยายน 2565 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.9% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาล -0.9%
ขณะที่รายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนกันยายน 2565 ขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 10.7% และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนกันยายน 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 44.6 จากระดับ 43.7 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยเป็นผลมาจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลในเรื่องการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันภายในประเทศที่ทำให้ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่ง ในเดือนกันยายน 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -8.6%
เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนกันยายน 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 31.4% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 9.1% อย่างไรก็ดี ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนกันยายน 2565 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -9.4% สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนกันยายน 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 0.3% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -2.5% ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 26.5% และทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 0.0%
มูลค่าการส่งออกสินค้ายังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 24,919 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันที่ 7.8% ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่าขยายตัว 9.0%โดยสินค้าที่ขยายตัว ได้แก่ 1) สินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 9.4% เช่น เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ที่ขยายตัว 115.7% 23.4% และ 18.3% ตามลำดับ 2) สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 1.8 โดยเฉพาะไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่ขยายตัว 82.9% 19.8% และ 13.4% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี สินค้ายางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสำคัญ เช่น ตะวันออกกลาง สหรัฐฯ อาเซียน 9 และทวีปออสเตรเลีย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 47.5% 26.2% 16.1% และ 15.5% ตามลำดับ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนกันยายน 2565 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 1.31 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 10,598% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 250.8% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย เวียดนาม ลาว และสิงคโปร์ ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนกันยายน 2565 จำนวน 16.8 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 665.5% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -9.9%
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนกันยายน 2565 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 91.8 จากระดับ 90.5 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยมีปัจจัยมาจากภาคการผลิตที่ยังคงขยายตัวตามความต้องการสินค้าโดยเฉพาะตลาดในประเทศ หลังการเปิดประเทศและมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลจากต้นทุนการผลิตที่ยังอยู่ในระดับสูงจากราคาวัตถุดิบและพลังงาน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อการผลิตและส่งออกสินค้าในระยะต่อไป
สำหรับภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนกันยายน 2565 ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -0.6% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 2.2% ตามการเพิ่มขึ้นของผลผลิตข้าวโพด และสินค้าในหมวดประมงเป็นสำคัญ
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้มีปัจจัยกดดันจากการระดับราคาสินค้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 6.41% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 3.12% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ 60.72% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 รวมทั้งผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานรายใหม่ในเดือนกันยายน 2565 อยู่ที่ 0.61% ของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ทั้งหมด
สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนขงเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 อยู่ในระดับสูงที่ 199.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ