"ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น" เตรียมขายหุ้นไอพีโอ หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่งแล้วโดยจะระดมทุนเพื่อนำเงินไปเพิ่มกำลังผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง หลังดีมานด์ในตลาดพุ่ง เหตุโควิดระบาด คนอยู่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้มีการเลี้ยงสัตว์เพิ่ม โดยเฉพาะการเลี้ยงแมวเพราะใช้พื้นที่น้อย
นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC เปิดเผยว่าบริษัทเตรียมระดมทุนเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต จากปัจจุบัน ที่ ITC มีโรงงานผลิตที่สมุทรสาคร กำลังการผลิต 98,150 ตันต่อปี และที่สงขลา กำลังการผลิต 74,636 ตันต่อปี หรือกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปรวม 172,786 ตันต่อปี โดย บริษัทฯ อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานใหม่ในบริเวณเดียวกับโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ร้อยละ 18.7 ของกำลังการผลิตรวม และคาดว่าการก่อสร้างโรงงานใหม่ดังกล่าวจะแล้วเสร็จในปี 2566 และมีแผนก่อสร้างคลังสินค้าที่ใช้ระบบอัตโนมัติที่โรงงานที่จังหวัดสงขลาที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าได้ 15,120 พาเลท โดยคาดว่าการก่อสร้างคลังสินค้าดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการวางแผนก่อสร้างคลังสินค้าที่ใช้ระบบอัตโนมัติที่โรงงานที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าได้ 35,000 พาเลท โดยคาดว่าการก่อสร้างคลังสินค้าดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2567
ทั้งนี้ ยังจะปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติ และระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ (Automate Warehousing and Labelling System) ตลอดจนการใช้เพื่อขยายธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงการจ่ายคืนหนี้เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่งของ ITC ซึ่งบริษัทจะเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 22% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ประกอบด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย TU ไม่เกิน 60 ล้านหุ้น
สำหรับ ITC คือธุรกิจ Flagship ในการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงของกลุ่มไทยยูเนี่ยนจำกัด (มหาชน) หรือ TU และนับได้ว่าเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของเอเชีย และอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก ซึ่งหากจะนับเพียงผู้ผลิต OEM อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกนั้น ITC อยู่ในอันดับ 4 ของโลก ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั้งหมด 4,809 ชนิด
ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งแรกปี 2565 ผลงานเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย ITC มีรายได้ 9,707 ล้านบาท เติบโตกว่า 38% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40%
มาร์จิ้นสูง อานิสงส์ต้นทุนต่ำ
ITC มีความได้เปรียบในการเป็นสมาชิกของ Thai Union ได้ประโยชน์จากการใช้ shared services และได้อำนาจต่อรองในเชิง economy of scale กับคู่ค้าต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงสามารถออกแบบการใช้ทรัพยากรด้าน Logistics ร่วมกัน
“ITC มีข้อได้เปรียบผู้ผลิตอื่นๆ เรื่องต้นทุนวัตถุดิบ เพราะ ITC อยู่ในเครือไทยยูเนี่ยน หรือ TU ที่มีบริษัทผลิตกระป๋อง มีบริษัทผลิตฉลากเองและมีวัตถุดิบอย่างปลาทูน่า จาก TU รวมถึงการเน้นผลิตสินค้าพรีเมี่ยม ส่งผลให้เน็ทมาร์จิ้นสูง” นายพิชิตชัยกล่าว
โดยตัวเลขทางการดำเนินงาน 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า ITC มีเน็ทมาร์จิ้น 15-21% ขณะที่มีกรอสมาร์จิ้น 20-26% ส่วนรายได้เติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 15% โดยผลงานปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 14,529 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 2,721 ล้านบาท ส่วนครึ่งแรกปี 2565 มีรายได้จากการขาย 9,707 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,257 ล้านบาท
ปัจจุบัน ITC มีโครงสร้างรายได้อาหารแมวมากกว่า 72% อาหารสุนัข 12% ซึ่งบริษัทส่งสินค้าออกไปขายในต่างประเทศทั่วโลก และตลาดหลักอยู่ที่สหรัฐ ญี่ปุ่น ยุโรป ล่าสุดมีแผนจะบุกเข้าจีนเพราะมองว่าจีนเป็นตลาดที่ใหญ่มาก จากข้อมูลพบว่า 5 ปีที่ผ่านมา (ระหว่าง พ.ศ. 2559-2564) อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 21.5% แต่ทว่าการที่จะเข้าไปจีนต้องศึกษาปัจจัยแวดล้อมให้รอบด้าน
"สำหรับรายได้นั้น ส่วนใหญ่ ITC มีรายได้จากการรับจ้างผลิตหรือ OEM ให้กับลูกค้า TOP 5 ของโลกอย่าง Mars Petcare และ Smucker's ที่เหลือเราไม่ได้รับการอนุญาตให้เปิดเผยรายชื่อ ซึ่งปี 2564 สัดส่วนรายได้ของเรามาจากอเมริกา 46% ยุโรป 19% เอเชียและโอเชียเนีย 35%" นายพิชิตชัยกล่าว
การที่อาหารแมวมีความต้องการสูงขึ้น หลังการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากคนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนมากขึ้น ซึ่งแมวเป็นสัตว์ที่ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่กว้างขวางในการเลี้ยงดู จึงพบว่าคนนิยมหันมาเลี้ยงแมวเพิ่มขึ้นกว่าสุนัข ดังนั้น ITC จึงเร่งขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการในตลาด
ทั้งนี้ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือเดิมคือ บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU และการปรับเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่พบว่าผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะหลังการเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้คนได้ใช้เวลาอยู่บ้านกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ทำให้ยอดขายพุ่งอย่างเห็นได้ชัด
โดยกระบวนการผลิตของ ITC ได้รับมาตรฐาน GMP และ HACCP มีผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมคุณภาพกว่า 600 รายและทีมวิจัยและพัฒนาที่มีประสบการณ์คิดค้นสูตรอาหารที่มีความสมดุลทางโภชนาการและอื่น ๆ ที่ศูนย์นวัตกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่ง ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาและศึกษาเทคโนโลยีด้านโภชนาการใหม่ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพคุณค่าในผลิตภัณฑ์ของบริษัท รวมถึงผลักดันให้เกิด ecosystem ของสตาร์ทอัพด้าน Food Tech เพื่อพัฒนาและโอกาสทางธุรกิจ
#หุ้น ITC #iTailIPO
ที่มา: ข้อมูลตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและการจัดอันดับเชิงมูลค่าอ้างอิงจาก Frost &Sullivan, www.petfoodindustry.com ณ ปี 2564 ข้อมูลทางการเงินของบริษัท จากงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562-2564และ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565
*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน