ตลาดหุ้นไทยปิดร่วง -5.14 จุด โบรกฯชี้ นักลงทุนรอลุ้นประชุมเฟดคืนนี้ว่าจะตีกรอบอัตราดอกเบี้ยตามที่ประเมินไว้หรือไม่ สวนทางบอนด์ยีลต์ปรับพุ่งเฉียด 4% สะท้อนตลาดกังวลว่าเฟดยกระดับกระชับเงินเฟ้อ ใช้ยาแรงดอกเบี้ย 1% หรือไม่ ซึ่งอาจคงมาตรการดอกเบี้ยในอัตราใหม่ถึงเดือนมีนาคม 2566 หลังแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อไม่ตอบสนองเท่าที่ควร แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เลวร้ายลง ประเมินกรอบดัชนีวันพรุ่งนี้อาจฝากชะตาไว้กับผลการประชุมเฟดในคืนนี้ หากส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง ตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงต่อ โดยประเมินแนวรับสำคัญที่ 1,617 จุด และแนวต้านที่ 1,650 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 21 กันยายน 2565 ปรับตัวลดลง -5.14 จุด หรือ -0.31% โดยปิดตลาดที่ 1,633.45 จุด มูลค่าการซื้อขาย 70,140.73 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายในวันนี้ ดัชนี SET INDEX แกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ ทั้งแดนบวกและแดนลบ โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,642.82 จุด ขณะเดียวกันก็ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,633.41 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 502 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 453 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 1,248 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +2,435.01 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -1,002.31 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -384.13 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -1,048.57ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,604.28 ล้านบาท ปิดที่ 174.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
2.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 3,253.90 ล้านบาท ปิดที่ 193.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
3.SCC มูลค่าการซื้อขาย 3,033.44 ล้านบาท ปิดที่ 328.00 บาท ลดลง 9.00 บาท
4.TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,804.52 ล้านบาท ปิดที่ 4.96 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
5.EA มูลค่าการซื้อขาย 2,348.46 ล้านบาท ปิดที่ 89.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.PTTEP ปิดที่174.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท หรือ 2.95%
2.ADVANC ปิดที่ 193.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.31%
3.DTAC ปิดที่ 45.25 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 4.62 %
4.TOP ปิดที่ 56.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.27%
5.BH ปิดที่ 227.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 0.44%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.EA ปิดที่ 89.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 2.20 %
2.EGCO ปิดที่ 170.50 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.16%
3.SINGER ปิดที่ 42.25 บาท ลดลง 1.75บาท หรือ 3.98%
4.BGRIMปิดที่34.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 4.23%
5.TIPH ปิดที่ 56.25 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 2.60%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,221.93 จุด ลดลง -7.09 จุด หรือ -0.32% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 983.43 จุด ลดลง -2.23 จุด หรือ -0.23% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 666.62 จุด ลดลง -2.67 จุด หรือ -0.40%
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวแคบตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยในช่วงบ่ายมีแรงขายออมากเนื่องจากตลาดมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสูง จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 2 ปีพุ่งขึ้น 3.94% สะท้อนตลาดว่าเฟดอาจจะใช้ยาแรง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง และเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้ 0.75% และอาจปรับขึ้นอีก 0.75% ในครั้งถัดไป ซึ่งตลาด Price in แล้วจึงเห็นแรงขาย โดยแรงขายทยอยเห็นมา 1-2 สัปดาห์แล้ว ตั้งแด่ประกาศอัตราเงินเฟ้อล่าสุด 8.3% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 9.5% แต่เงินเฟ้อปรับตัวลงช้า ก็กลัวว่าเฟดจะใช้ยาแรง เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังทรงตัวดี ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการจ้างงาน และยังมองว่า เฟดจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยไปถึงเดือน มี.ค.66 ส่งผลให้ผลตอบแทนจากหุ้นจะลดลง ทำให้มีแนวโน้มที่ทั่วโลกปรับลดการลงทุนหุ้น หรือหันไปเลือกถือหุ้น Defensive แทนเช่นหุ้นกลุ่ม HealthCare ที่มีรายได้ประจำ
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ ต้องรอติดตามการประชุมเฟดคืนนี้ว่าเป็นอย่างไร หากเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยคาดหุ้นจะลงต่อ แต่มองตลาดหุ้นไทยไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่จากที่ค่าเงินดอลลาร์ขึ้นจากผลขึ้นดอกเบี้ยก็ทำให้ค่าเงินบาทอ่อน ก็กังวลว่าต่างชาติจะขายออกมา ก็จะทำให้หุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวผันผวน โดยประเมินแนวรับสำคัญ ที่ 1,617 จุด ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน แต่ถ้าไม่หลุด เชื่อว่าน่าจะยืนได้ แต่ถ้าหลุดระดับนี้ตลาดน่าจะลงแรง ส่วนแนวต้านให้ไว้ 1,650 จุด