xs
xsm
sm
md
lg

แนะเทคนิคอสังหาฯ ฝ่าวิกฤต เพิ่มยืดหยุ่นพอร์ตสินค้าเปิดตลาดใหม่ๆ ฟันธงปลายปีนี้คอนโดฯ กลับมาขยายตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พีระพงศ์ จรูญเอ
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาเงินเฟ้อ วิกฤตพลังงานราคาแพง การปรับตัวของต้นทุนก่อสร้างต่างๆ ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทยในปลายปีนี้ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ พร้อมกับการฟื้นตัวที่ยากลำบากนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้ผ่านสภาวะที่ยากลำบากไปให้ได้ ดังนั้น การกำหนดแนวทางและกลยุทธ์เพื่อข้ามผ่านวิกฤตที่เกิดขึ้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน อยู่ท่ามกลางภาวะวิกฤตที่สมบูรณ์แบบ เพราะวิกฤตโควิด-19 ยังไม่ทันจบ ก็ต้องประสบกับปัจจัยลบจากสงครามรัสเซียกับยูเครน และปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งบิดเบือนการค้าระหว่างประเทศทำให้คาดการณ์ราคาต้นทุนวัสดุและสินค้ายากลำบากขึ้น เนื่องจากอสังหาฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาแพง ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ จึงต้องมีการวางแผนให้รัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะหลายบริษัทที่ซื้อที่ดินรอพัฒนาไว้ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้

ทั้งนี้ แม้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัย แต่การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบขยายตัวได้ดี เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้มีความต้องการอยู่อาศัยในบ้านที่มีพื้นที่เพิ่มขึ้น ใช้เวลาในการทำงานและใช้ชีวิตที่บ้านมากขึ้น ซึ่งนับรวมถึงคอนโดมิเนียมด้วย เพราะตัวคอนโดฯ เป็นบ้านรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นผลกระทบจากไวรัส โควิด-19 ที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้ส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัยมากนัก แต่อยู่ในระดับที่พอรับได้
 
สำหรับการหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงปีแรกที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 30-40% ปัจจุบันเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา อัตราการหดตัวขยับมาอยู่ที่ระดับ 15% ส่วนปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับ 10% คาดว่าในปี 2566 นี้ตลาดคอนโดฯ น่าจะกลับมาขยายตัวได้อยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 ภายใต้สมมติฐานการเปิดประเทศของจีน และฮ่องกง เพราะแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาประเทศต่างๆ มีการเปิดประเทศแล้ว แต่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของตลาดคอนโดฯ  โดยจีนยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดทั่วไป ขณะที่ฮ่องกงเป็นกลุ่มลูกค้าที่เจาะตลาดระดับบน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นผู้ประกอบการอสังหาฯ หลายรายมีการปรับตัวเพื่อพัฒนาสินค้าให้ตรงกับดีมานด์มากขึ้น โดยในส่วนของ บริษัท ออริจิน ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) นั้น มีการพัฒนาโครงการคอนโดฯ จำนวนมาก ทำให้มีแชร์ตลาดในสัดส่วน 15-20% ซึ่งถือว่ามีแชร์ในตลาดที่ค่อนข้างสูง และบริษัทมองว่าสินค้าอะไรก็ตามที่ได้รับความนิยมมากในระยะเวลาไม่นานจะมีผู้พัฒนาหรือคู่แข่งเข้ามาในตลาดมากขึ้น ทำให้ในตลาดมีโปรดักต์คล้ายกันออกมาจำนวนมาก การสร้างความต่างในตัวสินค้าเองทำได้ยากขึ้น ในส่วนที่ทำได้ต่างกันออกไปน่าจะเป็นในเรื่องของการแก้ปัญหา หรือจุดบกพร่องให้ลูกค้าได้มากกว่ากันเท่านั้น จากแนวคิดดังกล่าวทำให้บริษัทต้องมีการกระจายความเสี่ยงออกไปในกลุ่มสินค้าอื่น โดยออริจิ้นฯ มีการกระจายความเสี่ยงด้วยการเปิดบริษัทลูก เพื่อขยายการลงทุนในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีทำให้สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในระยะเวลาเพียง 5 ปี


สำหรับโครงการบ้านจัดสรรนั้น ขณะนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ทำให้ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งหากสังเกตจะพบว่าระดับราคาของสินค้าในโครงการต่างๆ นั้นจะอยู่ในระดับเดียวกัน เช่น กลุ่มบ้านแฝดจะอยู่ในระดับราคา 4-6 ล้านบาท แต่สิ่งที่หายไปคือ ขนาดของพื้นที่ใช้สอยซึ่งอาจจะลดลงมาแต่เป็นการลดในส่วนที่ควรลด เช่น ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ไม่รู้สึกว่าพื้นที่หายไป และการลดพื้นที่ใช้สอยดังกล่าวนี้เพื่อลดต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นมาโดยเฉพาะต้นทุนวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนที่ดินที่มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยในช่วงที่ผ่านมาราคาของที่อยู่อาศัยแนวราบมีการปรับตัวขึ้นประมาณ 10% สวนทางกับราคาคอนโดฯ ที่ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก

ภาวะเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการขึ้นราคาทางอ้อม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 3 ปีก่อนหน้านี้บ้านจัดสรรมีราคาแพงขึ้นประมาณ 10% ต่อปี ขณะที่คอนโดฯ มีราคาถูกลงเพราะผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้โครงสร้างของราคาคอนโดฯ ในตลาดปรับตัวลดลง หลังจากที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคอนโดฯ มีราคาขายปรับตัวขึ้นโดยตลอด ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีอัตราการปรับตัวขึ้น 10% ต่อปี โดยเป็นการปรับตัวตามต้นทุนก่อสร้างและการพัฒนาโครงการใหม่ โดยเฉพาะการปรับขึ้นของต้นทุนราคาที่ดิน

“วิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นเสมือนการรีเซต หรือเซตอัปราคาคอนโดฯ ใหม่ โดยสินค้าที่จะพัฒนาออกมาใหม่หลังจากนี้จะมีความน่าสนใจในเรื่องของราคา ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในเมืองและนอกเมือง ซึ่งราคาที่ออกมาจะเป็นราคาที่ดีและไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่คอนโดฯ เริ่มกลับเข้าสู่ไซเคิลของตลาดอีกครั้ง ทำให้ราคาของคอนโดฯ ที่จะออกมาใหม่ต้องมีราคาที่ดีและดึงดูดดีมานด์ในตลาดที่หายไปให้กลับคืนมาได้ โดยเฉพาะกลุ่มดีมานที่ไม่ได้ต้องการพื้นที่ใช้สอย หรือพื้นที่การอยู่อาศัยจำนวนมาก และไม่ได้กังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 แล้ว ซึ่งกลุ่มนี้เริ่มกลับมามีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใกล้แหล่งงานหรือย่านใจกลางเมือง เนื่องจากเบื่อปัญหารถติด และต้นทุนในการเดินทางที่สูงขึ้น”

นายพีระพงศ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศปลดล็อกดาวน์การเดินทางโดยรถยนต์มีความหนาแน่นขึ้นมากกว่าช่วงก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเมื่อมีรถติดหนักมากขึ้นจากปัญหาฝนตกน้ำท่วม ซึ่งส่งผลให้สภาพการจราจรติดขัดมากขึ้น ทำให้ความนิยมของคอนโดฯ ย่านใจกลางเมืองเริ่มกลับมาฟื้นตัวเพราะจากมีระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้าอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ผู้บริโภคสามารถบริหารเวลาได้ ปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้คอนโดฯ กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง


นอกจากนี้ ปัญหาน้ำท่วมเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้คอนโดฯ กลับมาฟื้นตัว สังเกตได้จากในปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ และมีผลให้ราคาขายบ้านแนวราบหดตัวลง สวนทางกับราคาคอนโดฯ ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจนสามารถทำยอดขายได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น หากเปรียบเทียบสถานการณ์ตลาดคอนโดฯ กับตลาดบ้านแนวราบแล้ว ตลาดคอนโดฯ ณ ปัจจุบันจึงมีลักษณะเดียวกับตลาดบ้านแนวราบในปี 2554

“อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเกิดน้ำท่วมในปี 2554 นั้นเกิดจากปริมาณน้ำจากภาคเหนือจำนวนมาก แต่น้ำท่วมในปี 2556 นี้ เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่ตกหนักต่อพื้นที่และต่อตารางเมตรที่สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นปัญหาที่สามารถใช้ระบบบริหารจัดการน้ำแก้ไขได้ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เชื่อว่าผู้ว่าราชการ กทม.ที่ทราบถึงปัญหาและเข้าถึงปัญหาอยู่แล้วน่าจะจัดการแก้ไขปัญหานี้ได้ นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้าปริมาณน้ำฝนที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณลดลงแล้วซึ่งจะทำให้ปัญหาน้ำท่วมนี้หมดไป”

สำหรับการฟื้นตัวของตลาดคอนโดฯ นั้นสังเกตได้จากตลาดเช่าคอนโดฯ ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2565 และในช่วงไฮซีซันนี้ อัตราค่าเช่าคอนโดฯ จะเริ่มปรับตัวขึ้น หลังจากที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย เนื่องจากปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมาทำให้มีอัตราค่าเช่าและผลตอบแทนจากการเช่าที่ดีขึ้น โดยเฉพาะคอนโดฯ ในทำเลใจกลางเมืองที่มีอัตราค่าเช่ากลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากเดิมที่ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผลตอบแทนจากค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 1.5% ขณะนี้เริ่มกลับมาอยู่ที่ 3-4%

ดังนั้น คาดว่าหลังจากนี้คอนโดฯ จะกลับมาขยายตัวอีกในไม่ช้า และสิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องทำและเตรียมความพร้อมจากนี้คือการพยายามทำราคาขายให้น่าสนใจและเหมาะกับกำลังซื้อ เช่น ในทำเลที่เคยพัฒนาห้องชุดระดับราคา 3 ล้านบาท จะทำอย่างไรให้สามารถพัฒนาห้องชุดราคา 2.5 ล้านบาทเพื่อให้สามารถดึงดีมานด์ที่หายไปกลับมา แม้ว่าในบางครั้งอาจต้องยอมลดกำไรลงเพื่อให้สามารถขายได้

ทั้งนี้ การทำราคาขายคอนโดฯ ให้ลดลงมาเหมาะสมกับกำลังซื้อในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอาจต้องยอมลดกำไรลงเพื่อกระตุ้นดีมานด์ซื้อให้กลับมา นอกจากนี้ ยังต้องบริหารจัดการต้นทุนการก่อสร้างต้นทุนวัสดุก่อสร้างให้ดีมากขึ้น เช่น ในการซื้อวัสดุก่อสร้างอาจต้องเจรจาโดยตรงกับผู้ผลิตเพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่ดีที่สุด และจากแนวโน้มดังกล่าวจะทำให้ใน 4-5 ปีจากนี้ โครงการคอนโดฯ จะลดความเป็นแฟนซีลง และหันมาใช้ระบบก่อสร้างพรีแฟบอย่างเต็มระบบเพื่อเป็นการลดต้นทุนและทำราคาขายให้ถูกลงเช่นเดียวประเทศจีน และญี่ปุ่นประชากรมีการอาศัยอยู่ในคอนโดฯ จำนวนมาก ขณะที่ค่าแรงค่อนข้างสูง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการอาคารสูงหันมาใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปแบบเต็มระบบ ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มเช่นเดียวกัน

เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงานยังคงเป็นตัวแปรสำคัญซึ่งจะทำให้ภาคการก่อสร้างหันมาใช้ระบบก่อสร้างสำเร็จรูปเต็มรูปแบบภายใน 3-5 ปีจากนี้ เพราะการขาดแคลนแรงงานในประเทศที่รุนแรงขึ้น หลังจากที่ประเทศคู่แข่งในระดับเดียวกันของไทย เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จะเริ่มดูดซับแรงงานเพื่อนบ้านไปมากขึ้น ซึ่งจะทำให้จากนี้ไปแรงงานกัมพูชาจะมีจำนวนลดลงเนื่องจากสามารถเลือกเดินทางเข้าไปทำงานในประเทศคู่แข่งได้โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวอย่างมาก เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการเองจึงต้องมีการเตรียมรับมือปัญหาแรงงานที่จะหายไปจากระบบอีกไม่ต่ำกว่า 30-40% ดังนั้นการใช้ระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปเข้ามาทดแทนการใช้แรงงานก่อสร้างจึงมีความจำเป็น และจะเกิดขึ้นในระยะอันใกล้นี้

แสนผิน สุขี
นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯในปัจจุบันอยู่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าภาวะกำลังซื้อหดตัวสวนทางกับต้นทุนอย่างรุนแรง โดยปัจจัยไหนที่ทำให้กำลังซื้อหดตัวคือปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ถึงขณะนี้อัตราเงินเฟ้อสูงอยู่ในระดับ 7.6-7.8% ขณะเดียวกัน ต้นทุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ดินซึ่งปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10% ต่อปี บวกกับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภค ทำงานที่บ้านมากขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้มีผลให้กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบได้รับความนิยมมากขึ้นไปด้วย ทั้งนี้ ปัจจัยของเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงหลักๆ คือ การปรับตัวสูงของราคาพลังงานและอาหารที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งตัวที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงคือปัญหาหนี้สินครัวเรือน ซึ่งปัจจุบันอัตราหนี้สินครัวเรือนยังแตะอยู่ที่ระดับ 90% กว่าทำให้ในขณะนี้ กำลังซื้อในตลาดมีเหลืออยู่เพียง 10% หรือพูดได้ว่ามีเพียง 10% ที่ยังมีความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ นอกจากนี้ โควิด-19 คือ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการอสังหาฯ เนื่องจากการขาดสภาพคล่อง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีความสามารถในการแข่งขันลดลงโดยเฉพาะรายเล็ก หากเกิดปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินซึ่งอาจทำให้ต้องล้มหายตายจากไปจากวงการ ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการหน้าใหม่มีจำนวนมากขึ้นทำให้การแข่งขันมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปด้วย

"ในภาวะเช่นนี้สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่แล้วไม่ว่าสภาพตลาดจะเป็นอย่างไรก็ยังคงเดินหน้าตั้งโครงการใหม่ เพื่อให้มียอดขายเข้ามาอย่างต่อเนื่องแม้ว่ายอดขายเฉลี่ยในแต่ละโครงการจะมีอัตราลดลงก็ตาม ซึ่งการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องนี้ เพื่อเป็นการชดเชยยอดขายที่หายไปแม้ผลตอบแทนจะมีระดับต่ำกว่าปกติก็ตาม"


นายแสนผิน กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญและมีผลต่อสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันคือการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งคาดว่าหากเศรษฐกิจยังทรงตัวเช่นปัจจุบัน ในขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มถดถอย เชื่อว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลงอีกโดยมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงไปแต่ที่ระดับ 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ส่วนจีดีพีของประเทศที่ตั้งไว้ในปีนี้ว่าจะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 2.9% นั้น ส่วนตัวแล้วมองว่าอาจจะขยายตัวได้ไม่ถึงเป้าที่วางไว้โดยเฉพาะหากในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.นี้ หากยังมีปริมาณฝนที่ตกลงมาหนักอย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมภาวะที่มีน้ำฝนมากๆ จะส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างมากขึ้น 

อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในตลาดหดตัวลดลงสวนทางกับต้นทุนที่อยู่อาศัย ดูอัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านในปีนี้อาจจะมีการขยับตัวขึ้นอีก แม้ว่าขณะนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังไม่มีแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 2.5% อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างก้าวกระโดดจาก 0.5% เป็น 1.25-2% ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยตรง เนื่องจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในทุกๆ 1% จะมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง 7-8% ซึ่งเป็นการซ้ำเติมตลาด เนื่องจากในปัจจุบันกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้นอยู่ในระดับต่ำโดยเฉพาะกำลังซื้อของกลุ่มผู้บริโภคในตลาดล่าง

แนวโน้มดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวและทำองค์กรให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยในส่วนของ “เฟรเซอร์ส” นั้นมีแผนจะปรับโปรดักต์ และพอร์สินค้าใหม่ เพื่อรองรับกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป เช่น การขยายไปลงทุนในตลาดคอนโดฯ เนื่องจากมองว่าตลาดคอนโดฯ จะกลับมาขยายตัวได้ในระยะอันใกล้นี้ ขณะที่ตลาดแนวราบนั้นยอมรับว่ายังมีดีมานด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดบนซึ่งเป็นกลุ่มตลาดที่มีกำลังซื้อดังนั้น บริษัทจึงมีแผนที่จะขยายพอร์ทสินค้าในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับบนมากขึ้น

“ถามว่าเราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร คำตอบคือเราต้องเข้าใจสถานการณ์เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลาด ซึ่งสิ่งที่เฟรเซอร์ส ทำคือ การปรับพอร์ตสินค้าพัฒนาบ้านในตลาดบนให้มากขึ้น จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 20% จะเพิ่มเป็น 40% และขยายการลงทุนไปในตลาดใหม่ๆ เช่น การขยายตลาดไปในหัวเมืองต่างจังหวัด โดยเฉพาะตลาดที่มีการขยายตัวของการลงทุนอุตสาหกรรม ขณะเดียวกัน ก็ปรับพอร์ตสินค้าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นโดยการขยายไปสู่ตลาดคอนโดมิเนียม”

สำหรับทำเลที่บริษัทจะเข้าไปลงทุนคอนโดมิเนียมจะต้องอยู่ใกล้รถไฟฟ้า สามารถเดินถึงสถานีได้สะดวก โดยโครงการที่จะพัฒนาใหม่นี้จะไม่เน้นโครงการไฮไลต์ แต่จะเน้นโครงการขนาดไม่ใหญ่ สามารถคืนทุนได้เร็ว ส่วนการพัฒนาโครงการแนวราบให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนนั้นปัจจัยสำคัญคือการเลือกที่ดินในการพัฒนาโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่ อยู่ในทำเลที่ดี สามารถขายได้เร็วและต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกัน ต้องนำนวัตกรรมใหม่ใหม่เข้ามาใช้พัฒนาโครงการและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฟังก์ชันในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า.


กำลังโหลดความคิดเห็น