xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกายืนจำคุก “ราเกซ สักเสนา” 335 ปี ปรับ 33 ล้าน สั่งคืนเงิน 2,000 กว่าล้านคดีโกงบีบีซี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศาลฎีกายืนจำคุก “ราเกซ สักเสนา” 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท สั่งคืนเงิน 2,000 กว่าล้าน คดีร่วมทุจริตอนุมัติสินเชื่อแบงก์บีบีซี ให้บริษัทเอกชนโดยไม่มีหลักประกัน

วันนี้ (13 ก.ย.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดอ่านคำพิพากษาฎีกา คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายราเกซ สักเสนา (Mr.Rakesh Saxena) อายุ 70 ปี อดีตที่ปรึกษา นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ (บีบีซี) จําเลยฐานกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวม 3 สำนวน

คำฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อระหว่างปี 2537-2539 จำเลยซึ่งเป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด มหาชน หรือบีบีซี กับพวกให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี ได้กระทำผิดร่วมกันโดยทุจริตใช้บัตรการอนุมัติให้สินเชื่อเกินบัญชีเกินกว่า 30 ล้านบาท กับเอกชน ได้แก่ บริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง โดยการอนุมัติดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน และได้อนุมัติโดยผู้ขอสินเชื่อไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ตลอดจนไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย และจำเลยกับพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหายซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวก และนายเกริกเกียรติโดยทุจริต ซึ่งภายหลังการกระทำความผิด จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ชดใช้เงินให้แก่ธนาคารผู้เสียหายบางส่วน โดยโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 722,136,005.03 บาท และจำนวน 1,427,195,799.92 บาท กับจำนวน 353,363,966 บาท

ภายหลังการกระทำความผิด จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท

ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 3, 4, 307, 311, 315, 334 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ให้จำเลยร่วมกันคืนเงินโดยใช้เงินจำนวน 722,136,005.03 บาท จำนวนเงิน 1,427,195,799.92 บาท และจำนวนเงิน 353,363,966 บาท แก่ผู้เสียหาย และนับโทษ จำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่เคยตัดสินไปแล้วก่อนหน้านี้

โดยศาลอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 308, 311 ประกอบมาตรา 315(เดิม) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือของบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท ในสำนวนแรก 60 กระทง ในสำนวนที่สอง 6 กระทง ในสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) และปรับ 33,500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 29/1, 3 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นเวลา 2 ปี ให้จำเลยร่วมกันคืนโดยใช้เงินในสำนวนคดีแรก จำนวน 722,136,005.03 บาท ในสำนวนที่สอง จำนวน 1,427,195,799.92 บาท และในสำนวนที่สาม จำนวน 353,363,599 บาท แก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญา หมายเลขแดงที่ 18173/2555 ของศาลชั้นต้น

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาอื่นๆ อีก 15 คดี คำขอในส่วนนี้ให้ยก

ต่อมา นายราเกซ จำเลยยื่นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นายราเกซ จำเลยยื่นฎีกา

โดยศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน


กำลังโหลดความคิดเห็น