xs
xsm
sm
md
lg

BEM ยอดใช้บริการฟื้น กำลังกลับสู่วัฏจักรขาขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส่องศักยภาพ “ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ” จ่อได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ส่งสัญญาณราคาหุ้นเริ่มใกล้สองหลัก หลายฝ่ายเชื่อปี65 ทุกธุรกิจเริ่มพลิกฟื้นจากโควิด-19 หลังปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดปี 2566 กลับมาสู่ระดับปกติ ส่วนปีนี้มีลุ้นกำไรเกิน 2.6 พันล้านบาท

เมื่อ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา รายงานข่าวจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) แจ้งว่า รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้ดำเนินการเปิดซองข้อเสนอซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน ของผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านเทคนิค) ผลปรากฏว่า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เสนอผลประโยชน์สุทธิ (มูลค่าปัจจุบัน: NPV) เท่ากับ – 7.82 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ITD Group เสนอผลประโยชน์สุทธิ (มูลค่าปัจจุบัน: NPV) เท่ากับ – 1.02 แสนล้านบาท

ทั้งนี้  ผลประโยชน์สุทธิคือ เงินตอบแทนที่ผู้ยื่นข้อเสนอจะให้แก่ รฟม. หักลบด้วยจำนวนเงินสนับสนุนค่างานโยธา ที่ผู้ยื่นข้อเสนอจะขอรับจาก รฟม. ซึ่งตัวเลขติดลบ หมายความว่า ยิ่งติดลบน้อยจะเป็นประโยชน์กับภาครัฐมากกว่า เพราะขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องของข้อเสนอดังกล่าว และดำเนินการตามขั้นตอนที่ระบุในเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โดยเคร่งครัดต่อไป

สำหรับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 1.4 หมื่นล้านบาท ค่างานโยธา 9.6 หมื่นล้านบาท และค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้าบริหารการเดินรถ ซ่อมบำรุง 3.2 หมื่นล้านบาท โดย รฟม. เปิดให้เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างช่วงตะวันตก ติดตั้งจัดหาระบบรถไฟฟ้า และรับสัมปทานเดินรถตลอดเส้นทาง 35.9 กิโลเมตร(กม.)

ทั้งนี้ แบ่งเป็น ส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 22.5 กม. 17 สถานี (สถานีใต้ดิน 10 สถานี และยกระดับ 7 สถานี) และส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) ระยะทาง 13.4 กม. 11 สถานี (สถานีใต้ดินตลอดสาย) คาดว่าจะเปิดให้บริการส่วนตะวันออกเดือน ส.ค.2568 และส่วนตะวันตกเดือน ธ.ค.2570

ราคาหุ้นเริ่มขยับรับการฟื้นตัว

ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้น BEM ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.17% จากสิ้นเดือนสิงหาคมที่ระดับ 8.70 บาทต่อหุ้น (31ส.ค.) มาอยู่ที่ 9.15 บาทต่อหุ้น (9 ก.ย.) และด้วยทิศทางธุรกิจที่กลับมาเติบโตทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่ามีโอกาสที่ราคาหุ้น BEM จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากกว่าราคาในปัจจุบัน

นักลงทุนเชื่อหุ้นกู้

นอกเหนือจาก ข่าวดีที่จะได้รับงาน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ 1.4 แสนล้านบาท ก่อนหน้านี้ BEM เพิ่งประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน โดยได้รับการตอบรับจากนักลงทุน อาทิ กลุ่มบริษัทประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุน ธนาคาร และสหกรณ์ และได้ขยายอายุหุ้นกู้เป็น 12 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่มีต่อธุรกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาด ภาวะเงินเฟ้อ และสภาวะเศรษฐกิจถดถอย 

ที่ผ่านมา BEM ได้รับการตอบรับจากการออกหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ปี 2564 ขณะที่ในปี 2565 BEM ได้ดำเนินการออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืนชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ให้กับ ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ (Institutional Investors and/or High Net Worth Investors) เป็นครั้งที่ 2 มูลค่าเสนอขายรวม 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายในการเสนอขายหุ้นกู้ที่ 3.0 พันล้านบาท หลังได้รับความสนใจ จากนักลงทุนอย่างมาก โดยมียอดจองทะลุเป้าหมายกว่า 2.6 เท่า โดย BEM จะนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ไปใช้ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนหุ้นกู้แต่ละชุดได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่ระดับ "A-"

โดย BEM นับเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากทิศทางธุรกิจที่เติบโตในทุกด้านโดยเฉพาะหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลทำให้ผู้ใช้บริการในทุกบริการของบริษัทกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สัดส่วนถือหุ้นแข็งแกร่ง

ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นใน BEM ต้องยอมรับว่ามีความแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นบริษัทในกลุ่มของ “ช.การช่าง” ที่มีกลุ่มของ “ปลิว ตรีวิศวเวทย์” ประธานกรรมการบริษัท เป็นผู้กุมบังเหียนผ่านการถือหุ้นโดย บมจ. ช.การช่าง (CK) ในสัดส่วน 31.79% อันดับ 2. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) สัดส่วน 8.22% อันดับ 3. ไทยเอ็นวีดีอาร์ สัดส่วน 6.54% อันดับ 4. ธนาคารกรุงไทย (KTB) สัดส่วน 5.33% และสำนักงานประกันสังคม (สปส.) สัดส่วน 3.69%

 Q2/65 สัญญาณฟื้นตัวมาชัดเจน

ล่าสุด BEM รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 634 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 215.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท และมีรายได้รวม 3.64 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2.74 พันล้านบาท บริษัทรายงานว่าเป็นการเติบโตทุกขาธุรกิจ เริ่มจากรายได้จากธุรกิจทางพิเศษ 1.94 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.4% ถัดมารายได้จากธุรกิจระบบราง 1.11 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% และรายได้จากธุรกิจพัฒนาเชิงพาณิชย์ 207 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% ส่งให้มีรายได้จากธุรกิจหลัก 3.26 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.7%

โดยสาเหตุหลักมาจากการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ทำให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณรถที่ใช้ทางด่วนและผู้โดยสารรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าทั้งปีนี้จะมีปริมาณการจราจรบนทางด่วนเฉลี่ย 1 ล้านคันต่อวัน และมีจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าเฉลี่ยเกือบ 3 แสนเที่ยวคนต่อวัน หลังจากพบว่างวด 7 เดือนล่าสุด (ม.ค.-ก.ค. 2565) มีผู้ใช้ทางด่วนเฉลี่ยที่ 1-1.2 ล้านคันต่อวัน และมีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าเฉลี่ยกว่า 2 แสนเที่ยวคนต่อวัน ส่งผลให้ผู้บริหารเชื่อว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตกว่าปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.01 พันล้านบาท

ขณะที่ปัจจัยที่จะเข้ามาสนับสนุนผลประกอบการในปี 2565 เพิ่มเติม เชื่อว่าจะมาจากการประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และความชัดเจนการลงทุนทางด่วน 2 ชั้น (Double Deck) จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ที่กำลังศึกษารายละเอียด

สำหรับสัดส่วนรายได้ของ BEM ประกอบด้วย ธุรกิจทางด่วนสัดส่วน 60% ธุรกิจรถไฟฟ้า สัดส่วน 35% โดยมีธุรกิจตัวที่ 3 คือ "การพัฒนาเชิงพาณิชย์" ภายใต้แบรนด์ "เมโทรมอลล์"ช่วยสร้างรายได้ให้บริษัท 5% และรายได้ที่เหลืออีก 10% มาจากเงินปันผลจากการลงทุนในกลุ่มบริษัท TTW และบริษัท CKP เฉลี่ยปีละ 500 กว่าล้านบาท ถือเป็น cash flow ที่แน่นอนของบริษัท

ทิศทางธุรกิจเติบโตทุกสายงาน

ส่วนแนวโน้มทิศทางธุรกิจ ธุรกิจทางด่วนก่อนการแพร่ระบาด Covid – 19 มีปริมาณรถ 1.2 ล้านเที่ยวคัน/วัน ปี 2563-2564 ปริมาณรถหายไป 30-35% ปัจจุบันปริมาณรถแตะ 1.1 ล้านเที่ยวคัน/วัน หรือยอดใช้ทางด่วนกลับคืนมา 90% ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าในช่วงการแพร่ระบาด ปี 2563-2564 ลดลง 20% และ 40% จากช่วงก่อนการแพร่ระบาด เกิน 3 แสนเที่ยวคน/วัน ล่าสุด ครึ่งปีแรก 2565 ตัวเลขเฉลี่ยที่ 2 แสนกว่าเที่ยวคน/วัน

ทำให้ผู้บริหารของ BEM เชื่อว่า เบื้องต้นคาดว่ากำไรสุทธิทั้งปี 2565 จะฟื้นตัวได้ประมาณ 70% ของกำไรสุทธิปี 2563 ที่ทำได้ประมาณ 2 พันล้านบาท และจะฟื้นกลับสู่ช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ได้ในปี 2566 เป็นต้นไป โดยมีปัจจัยหนุนปริมาณผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้า MRT ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ต่อเนื่องถึงปี 2566 คือการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาทิ 1.การเปิดศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งทางบริษัทปรับปรุงพื้นที่สถานีให้สามารถเดินเข้าสู่อาคารศูนย์ประชุมได้ รวมถึงการทยอยเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่งจะส่งต่อ ผู้โดยสารเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าได้มากขึ้น และการทยอยเปิดคอมมูนิตี้ มอลล์ และโครงการมิกซ์ยูส ส่วนปริมาณผู้โดยสาร การจราจรบนทางด่วนจะฟื้นตัวโดดเด่นในปี 2566 ซึ่งจะหนุนรายได้ของบริษัทเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาแผนการลงทุนที่จะเข้ามาหนุนรายได้-กำไรเข้าสู่ช่วงการเติบโตใหม่ (S-Curve) ใหม่หลายโครงการ ประกอบด้วย 1.การเข้าร่วมประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม 2.โครงการทางด่วน Double Deck หรือทางด่วนชั้นที่ 2 ช่วงประชาชื่น-อโศก ระยะทาง 14.7 กิโลเมตร มูลค่าการลงทุน 3.15 หมื่นล้านบาท

สำหรับโครงการถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูนราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 23.6 กิโลเมตรนั้น เป็นโครงการของทาง รฟม. ปัจจุบันอยู่ระหว่าการก่อสร้างคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-5 ปี เมื่อการก่อสร้างดำเนินไปกว่า 50% ทางรฟม.จึงเริ่มขั้นตอนการเจรจารายละเอียดเงื่อนไขกับผู้รับจ้างเดินรถ


สถานะทางธุรกิจแข็งแกร่ง

ด้าน “ทริสเรทติ้ง” ประเมินสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทว่า มาจากการมีสินทรัพย์สัมปทานที่มีคุณภาพ กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและสม่ำเสมอจากธุรกิจทางด่วน รวมถึงโอกาสเติบโตจากธุรกิจรถไฟฟ้า นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงอันเป็นผลมาจากการลงทุนจำนวนมากในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม  หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากโรคระบาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นตามลำดับจากสภาวะสังคมและเศรษฐกิจที่กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น สำหรับ 7 เดือนแรกของปี 2565 ปริมาณจราจรบนทางด่วนเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 1 ล้านเที่ยว และรายได้ค่าผ่านทางเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 23% อยู่ที่ 22.47 ล้านบาท จึงคาดว่าปริมาณจราจรบนทางด่วนจะฟื้นกลับสู่ระดับที่เกินกว่า 1 ล้านเที่ยวต่อวันได้ในปี 2565

เช่นเดียวกับการดำเนินงานของธุรกิจรถไฟฟ้าก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับโดยใน 7 เดือนแรกของปี 2565 จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 43%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 218,925 เที่ยวและรายได้ค่าโดยสารโดยเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 6 ล้านบาท โดยจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากโรงเรียนกลับมาเปิดเรียนตามปกติ โดยบริษัทรายงานจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 274,623 เที่ยวในเดือนกรกฎาคม 2565 และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีโดยมีปัจจัยหนุนส่วนหนึ่งมาจากการกลับมาของกิจกรรมการท่องเที่ยว

ส่งผลให้ใน 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้ อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 6.4 หมื่นล้านบาท และมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ 25.6 เท่า (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่ ผลการดำเนินงานของบริษัทจะดีขึ้นตามปริมาณจราจรบนทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า รายได้ที่ปรับตัวดีขึ้นจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินของบริษัทลดลงมาอยู่ในระดับ 14-16 เท่าได้ในปี 2565

กระแสเงินสดแกร่งไม่ต้องเพิ่มทุน

นายจรูญพันธุ์ วัฒนวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แสดงความเห็นว่า  เตรียมปรับเป้าหลังจาก BEM เซ็นสัญญาสายสีส้มจาก 11.62 บาท เพิ่มขึ้น อีก 1.91 บาท โดยแม้จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ แสนล้านบาท แต่งานโยธารัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทำให้ BEM จะออกเงินค่าระบบ M&E ราว 3 หมื่นล้านบาท ทยอยใช้งบปีละ 4 พันล้านบาท ซึ่งมองว่ากระแสเงินสดของบริษัทที่ได้ปีละ 8 พันล้านบาทเพียงพอ ไม่ต้องเพิ่มทุน นอกจากนี้มองว่า CK จะได้ รับประโยชน์จากการก่อสร้างทันที

ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ช่วยเพิ่มผู้ใช้บริการ

บล. โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) คาดว่า BEM จะได้รับผลบวก จากการที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เตรียมที่จะ กลับมาให้บริการตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2565 นี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้ปริมาณผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงินมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปริมาณผู้โดยสารต่อวันจะฟื้นตัวต่อเนื่องในครึ่งหลังปีนี้ โดยไตรมาส 4/65 จะอยู่ที่ 0.35 ล้านเที่ยว คนต่อวัน เพิ่มจาก 0.23 ล้านเที่ยวคนต่อวันในไตรมาส 2/65 ส่วนในปี 2566 คาดว่าปริมาณผู้โดยสารจะเพิ่มเป็น 0.42 ล้านเที่ยวคนต่อวัน ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดของCovid-19 ในปี 2562 ซึ่งมีจำนวนผู้โดยสารอยู่ที่ 0.34 ล้านเที่ยวคนต่อวัน

ลุ้นกำไรปี 65 ระดับ 2.7 พันล้านบาท

บล.ดาโอ ประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ของ BEM ที่ 2.7 พันล้านบาท เติบโต 166% จากปีก่อน โดยประเมินกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังจะเร่งตัวมากขึ้น จากโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะตัวเลขผู้โดยสารรถไฟฟ้ารายเดือน ซึ่งมีลุ้นแตะระดับเฉลี่ยมากกว่า 3 แสนเที่ยวต่อวัน ส่วนการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น BEM ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 91.22 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 18.10 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายสูงกว่าตลาดหลายเท่าตัว สอดคล้องกับ P/BV ที่ระดับ 3.55 เท่า ก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.64 เท่า

บล. กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินทิศทางธุรกิจของ BEM ว่า ว่ายังคงมองว่าปริมาณการเดินทางทั้งในส่วนของทางด่วน และรถไฟฟ้าใต้ดินของ BEM กำลังฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ปริมาณการจราจรบนทางด่วนฟื้นตัวได้ดีกว่ารถไฟฟ้าใต้ดิน โดยปริมาณการจราจรอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านคัน ต่ำกว่าระดับก่อน COVID ประมาณ 10% ในขณะเดียวกัน มองว่า Upside อยู่ที่รถไฟฟ้า ซึ่งจำนวนผู้โดยสารยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด ถึงประมาณ 27%

ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกในไตรมาส 3/2565 ปริมาณการจราจรของทางด่วนอยู่ที่ 275,000 เที่ยวต่อวันเพิ่มขึ้น 19% จากค่าเฉลี่ยในไตรมาส 2/2565 และเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ในเดือนกันยายน จะมีการกลับมาเปิด "ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์" อีกครั้งในวันที่ 12 กันยายนนี้ ซึ่งจะเป็นอีก หนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นยอดผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน

ขณะที่ ยังคงประมาณการกำไร เอาไว้เท่าเดิมที่ 2.6 พันล้านบาท (+167% YoY) เพราะคาดว่าโมเมนตัม ของกำไรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2/65 จะดำเนินต่อไปในครึ่งปีหลัง และในปีหน้าโดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจะมาจากปริมาณการจราจรที่ฟื้นตัวขึ้น ทั้งในส่วนของทางด่วน และรถไฟฟ้า ทั้งนี้แม้ว่าการจราจรในไตรมาส 2/65 จะฟื้นตัวขึ้นอย่างมากจากไตรมาส 1/2565 แต่ทั้งปริมาณรถใช้ทางด่วน และผู้โดยสารรถไฟฟ้ายังต่ำกว่าระดับก่อน Covid-19 ระบาดเมื่อปี 2562 นอกจากนี้ ยังมองว่าหาก BEM ชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะทำให้ประมาณการกำไรมี Upside เพิ่มอีก ซึ่งจะมีการประกาศผลการประมูลในเดือนธันวาคม 2565 โดยคำแนะนำ "ซื้อ" และคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 10.50 บาท


กำลังโหลดความคิดเห็น