หุ้นก่อสร้างคึก หลังโควิดคลายและรัฐผ่อนมาตรการ ส่งงานที่ค้างสต๊อกออกสู่ตลาด ผู้ประกอบการพาเหรดยื่นประมูล หนุนงานในมือพุ่งดันรายได้เพิ่ม ขณะค่าแรงหากปรับขึ้น กูรูมองกระทบกำไรเพียงเล็กน้อย เชื่อผลประกอบการฟื้นตัวครึ่งปีหลัง ชัดเจนในไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงปี 66 หนุนราคาหุ้น CK , STEC, SEAFCO และ PYLON สดใสในแดนบวกถ้วนหน้า
หลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง ส่งผลให้มาตรการต่างๆ ภาครัฐที่เคยเข้มงวดผ่อนลงจากก่อนหน้า นั่นจึงทำให้หลายธุรกิจเดินหน้าต่อไป งานโครงการใหญ่ๆหรือเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐเปิดให้ยื่นประมูล ทั้ง "โครงการรถไฟทางคู่" ที่รัฐเร่งผลักดันโครงการรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 29,748 ล้านบาท ที่ยังไม่รวม ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 369 ล้านบาท ค่าจ้างควบคุมงานก่อสร้าง 604 ล้านบาท เป็นต้น อีกทั้งแผนพัฒนาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ยังอยู่ระหว่างผลักดันรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 ในแผนพัฒนาอีก 7 เส้นทาง วงเงินรวมกว่า 1.55 แสนล้านบาท ทุกเส้นทางส่วนขยายทั้งเหนือ-ใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงงานในกรุงเทพมหานครอย่างงานก่อสร้างสนามบิน ทางยกระดับและรถไฟฟ้าสายต่างๆ ฯลฯ
กูรูหลายสำนักมอง จากการเกิดการเร่งพัฒนาโครงการดังกล่าว จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา-วัสดุก่อสร้างให้กลับมาฟื้นตัว หลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น หุ้น อย่าง CK หรือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด(มหาชน) , STEC หรือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง จำกัด(มหาชน) , PYLON หรือ บริษัท ไพลอน จำกัด(มหาชน) และ SEAFCO หรือ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) กลับมาสดใสอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่ตัวบิ๊กของกลุ่มก่อสร้างแต่ราคาหุ้นที่เอ่ยมานั้นเขียวถ้วนหน้า เพราะผลประกอบการฟื้นตัวแล้ว
บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีโอกาสได้รับงานใหม่อีกมาก จากการที่ภาครัฐเร่งเปิดประมูลงานในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะทำให้งานในมือหรือ backlog เพิ่มขึ้น โดยเลือกหุ้น CK เป็นหุ้น Top pick ของกลุ่ม และ เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะเร่งขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงจากตัวเลขคาดการณ์การลงทุนภาครัฐของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ปีนี้จะขยายตัวมากที่สุด 11.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้น จึงคาดหวังทิศทางปริมาณงานในมือจะเป็นขาขึ้น ผู้รับเหมางานโยธา อย่าง CK, STEC, SEAFCO, PYLON มีงานในมือมากและจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ชี้จากการที่กระทรวงแรงงานเตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงเดือน ก.ย. และคาดว่าจะผ่านมติและบังคับใช้เดือนตุลาคม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี และผลดังกล่าว จะกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานไม่มีฝีมือ ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ก่อสร้าง และ ภาคบริการ จึงประเมินผลกระทบต่อ กำไรบริษัทจดทะเบียน แบบเป็นกลาง (Neutral) เพราะการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำส่งผลเชิงลบต่อเพียงแค่บางอุตสาหกรรมและธุรกิจ กลุ่มก่อสร้าง โดนผลกระทบเชิงลบมากที่สุด แนวโน้มกำไรปี 2566 จะถูกกระทบ 3-8% ขณะเดียวกันความสามารถในการปรับขึ้นราคาขายน่าจะทำได้ต่ำ กลุ่มท่องเที่ยว โดนผลกระทบต่อกำไรมากที่สุด 6-55% ขณะที่ความสามารถในการปรับขึ้นราคาขาย ถือว่าอยู่ในระดับกลาง
CK งานใหม่ทั้งใน-นอก อื้อ
บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ "BUY" หุ้น CK ให้ราคาเป้าหมาย 25.70 บาท/หุ้น ในงานในมือปัจจุบันที่ 6.3 หมื่นล้านบาท งานในมือเข้าสู่หลักแสนล้านบาทปลายปี 2565 หลังเซ็นสัญญา งานโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง ประเทศลาว วงเงินกว่า 8 หมื่นล้านบาท ปัจจัยหนุน ระยะสั้น-กลาง ผลประกอบการฟื้นตัว 2 ไตรมาส ระยะยาวโอกาสรับงานใหม่จากภาครัฐ เช่นรถไฟทางคู่เฟส2 งานสนามบิน ขณะไตรมาส 2 และ 3 คาดกำไรทำได้ดีเห็นจากผลประกอบการลูก BEM และ CKP ที่ฟื้นตัวพร้อมเงินปันผลรับจาก TTW เพราะไตรมาส 4 มีประเด็นบวกจากโอกาสเซ็นรับงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง และงานประมูลจากโครงการใหม่เพิ่มขึ้น
บล.ดาโอ แนะนำ "ซื้อ"หุ้น CK ให้ ราคาเป้าหมาย 25.40 บาท/หุ้น จากความคืบหน้าโครงการและ backlog ยังดีตามคาด คาดไตรมาส 3 โตต่อเนื่องจากความคืบหน้าโครงการและ backlog ที่ยังดีตามคาดและทรงตัวระดับดีต่อเนื่องที่ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่โครงการใหญ่หลวงพระบางยัง on track โดยสัญญา EPC คงเป้าได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และมองว่า GPM ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 2 ปีนี้ และจะทยอยปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังปี 65 ตาม progress งานใหญ่ โดยเฉพาะสายสีม่วงใต้ ซึ่งมีมาร์จิ้นดี, และ ปริมาณแรงงานโดยรวมยังบริหารจัดการได้ เนื่องจากงานใหญ่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและบริษัทมีการใช้ subcontractor ร่วมด้วย ด้านการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คาดการณ์กระทบจำกัด เนื่องจากปัจจุบันมีการจ่ายค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว
ดังนั้น คงประมาณการกำไรปกติปี 65 ที่ 1 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากปี 64 ที่ 100 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 3 ประเมินจะเติบโต ตามการรับรู้ backlog และกำไรบริษัทร่วม BEM ที่ฟื้นเร่งตัวต่อเนื่อง และอานิสงส์ peak season ของ CKP ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น อีกทั้งจากการลงนามสัญญา EPC โครงการหลวงพระบางในครึ่งปีหลัง ด้านการประมูลสายสีส้ม หากคดีความคลี่คลายและการประมูลเดินหน้าต่อไปได้ กรณี BEM ชนะประมูล ประเมินจะเป็น upside ต่อ CK ราว 7 บาท/หุ้น
STEC รับงานสนามบิน หนุนมาร์จิ้นพุ่ง
บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า STEC ยังเดินหน้าเตรียมประมูลงานใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย วงเงินโดยรวมราว 1.27 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการประมูลรูปแบบ PPP ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอขาย TOR รวมถึงงานอื่น เช่น มอเตอร์เวย์ รถไฟทางคู่เฟส 2 โดยปัจจุบัน STEC มีงานในมือราว 8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งโครงการสนามบิน อู่ตะเภา วงเงินราว 2.7 หมื่นล้านบาท ที่รอเซ็นสัญญาได้ในช่วงท้ายของปี 65 ซึ่งทำให้ STEC มีโอกาสเห็นงานมีงานในมือเข้าสู่ระดับแสนล้านบาท อีกครั้ง คงคำแนะนำ "ซื้อ" คาดการรับรู้รายได้ ที่จะเห็นระดับอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ขณะงานประมูลของภาครัฐ จะเป็นปัจจัยหนุนงานใหม่และต่อยอดงานในมือของ STEC ราคาเหมาะสมของปี 65 ที่ 21.50 บาท (อ้างอิง P/BV-0.50SD ที่ 2.1 เท่า)
บล. พาย แนะนำ "ซื้อ" หุ้น STEC ให้ราคาเป้าหมาย 14.1 บาท/หุ้น ปรับลดลงจาก 16.2 บาท (23.5XPER’22E) เนื่องจากมีการปรับลดกำไรปี 66 ลงจากเดิม 12% หลังจาก ไตรมาส 2 ออกมาไม่ดีนักจากปัญหาต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้กำไรขั้นต้นลดลง ขณะงานขนาดใหญ่ที่เซ็นสัญญาเข้า มาช่วงไตรมาส 4 ปี 64 และไตรมาสแรกปี 65 ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ทำให้รายได้ยังเข้ามาไม่มากนัก และถ้ามองระยะยาวคาดว่าด้วย Backlogที่มีอยู่กว่า 89,000 ล้านบาท (ถ้ารวมงานอู่ตะเภาด้วยจะเพิ่มเป็นกว่า 1.1แสนล้านบาท ) จะทำให้รายได้กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งตั้งแต่ครึ่งหลังปี 65 เป็นต้นไป ทำให้มองว่าผลประกอบการจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างมาก รวมถึงแนวโน้มราคาเหล็กที่ลดลงจะช่วยเพิ่มความสามารถการทำกำไร
บล.ดาโอ แนะนำ จากเดิมซื้อ เป็น "ถือ" หุ้น STEC ให้ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น (เดิม 17.50บาท) อิง 2022E PER 24x (+0.5SD above 3-yr average PER) STEC รายงานกำไรไตรมาส 2 ที่ 173 ล้านบาท ขยายตัว 38% จากปีก่อน แต่ลดลงจากไตรมาก่อน เพราะถูกกดดันโดยปัญหาแรงงานขาดแคลน ทำให้กระทบ progress งานก่อสร้างบางส่วน รวมถึงต้นทุนวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น ส่งผลให้ GPM ลดลงอยู่ที่เพียง 4.1% จากไตรมาสแรกที่ 5.7% จึงปรับประมาณการกำไรปกติปี 65 ลง 26% เป็น 824 ล้านบาท เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ต่้ำกว่าคาดมาก โดยกำไรครึ่งปีแรกคิดเป็น 49% ของประมาณการทั้งปี ส่วนครึ่งปีหลังดีขึ้นเล็กน้อย ตามการทยอยเริ่มงานใหม่หลายโครงการ แต่ยังมีความกังวลต่อทิศทาง GPM ที่ผันผวน รวมถึงการนำเข้าแรงงานที่อาจทำได้ช้ากว่าคาด หลังจากที่รัฐมีการยกเลิกมาตรการ Thailand pass สำหรับต่างชาติและผ่อนคลายมาตรการเคลื่อนย้ายแรงงานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้แรงงานปัจจุบันยังเข้ามาได้ไม่เต็มที่
PYLON สดใส งานใหม่ไหลเข้าต่อเนื่อง
บล.ทิสโก้ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น PYLON ใน ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท/หุ้น อิงจาก PER 2022F ที่ 28.5 เท่า (ค่าเฉลี่ย 4 ปี) เพราะ บล.ทิสโก้ มีมุมมองต่อไตรมาส 3 ดีเหมือนไตรมาส 2 ขณะนี้กำลังรอผลการประมูลโครงการภาคเอกชนขนาดใหญ่ 2-3 โครงการช่วงไตรมาส 4 ส่วนปี 66 จะมีโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินที่จะเริ่มก่อสร้างในเดือน ม.ค. และโอกาสในอีกหลายโครงการที่คาดว่าจะชนะการประมูลซึ่งจะหนุนกำไรในปีหน้า แนะนำ “ซื้อ ” เพราะมีโครงการจ่อประมูลอีกมากจากการรับรู้รายได้ที่ดีในไตรมาส 2 ทำให้งานในมือของ PLYON ลดลงเหลือ 962 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินกว่า 400 ล้านบาท ขณะนี้บริษัทกำลังรอผลการประมูลงานภาคเอกชนขนาดใหญ่ 2-3 โครงการในช่วงไตรมาส 4 และคาดจะเห็นงานในมือปรับเพิ่มขึ้นจากโครงการในอนาคต คาดจะเห็นการฟื้นตัวของงานภาคเอกชนมากขึ้นในปี 66
บล.เอเซียพลัส แนะนำซื้อ PYLON ให้ราคาเป้าหมาย 6.45บาท Upside ราว 45.3% คาดกำไรปีนี้จะโต 528% งวดไตรมาส2 คาดมีกำไรโต 156% จากไตรมาสก่อน ผลจากอัตราใช้เครื่องจักรเฉลี่ย 18 ชุด/เดือน เพิ่มจากไตรมาสแรก ที่ 13-14 ชุดต่อเดือน ขณะที่gross margin ประเมินที่ 20% จากงานที่ทำมีมาร์จิ้นสูง โดยภาพรวมผลประกอบการอยู่ในระดับใกล้เคียงปี 61-62 ซึ่งเป็นปีที่กำไรสูงสุดและในช่วงไตรมาส 3 คาดอัตราการใช้เครื่องจักรอยู่ที่ 18-20 ชุดต่อเดือน ใกล้เคียงไตรมาส 2 และไตรมาส 4 ปีนี้ และเชื่อมั่นว่าจะสามารถหางานเข้ามาเติมได้ โดยงานที่เป็นไฮไลต์สำคัญอย่าง งานรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ งานมิกซ์ยูสในเครือของเซ็นทรัล และโครงการสำนักงานของAIA
บล.เคทีบีเอสที แนะนำ "ซื้อ" หุ้นPYLON ราคาเป้าหมาย 5.40 บาท/หุ้น หลังไตรมาส 2 ขยายตัวสูงต่อเนื่องตามการรับรู้ backlog และโควิดดีขึ้น ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 2 ของ PYLON ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจากไตรมาส 2 ปีก่อน และเพิ่มขึ้น 71% เทียบไตรมาสก่อน ผลดีจากงานโดยรวมที่ยัง progress ต่อเนื่อง โดยเฉพาะงาน Cloud 11 มูลค่า 500 ล้านบาท จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 147 ล้านบาท กลับมาฟื้นตัวในรอบ 3 ปีสำหรับครึ่งปีหลัง ประเมินจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องตามการรับรู้backlog โดยงานใหญ่ Cloud 11 มีกำหนดส่งมอบในไตรมาส 3 ขณะที่งานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดเริ่มงานได้ในไตรมาส 4 และ โอกาสสูงในการได้subcontract โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนภายในครึ่งปีหลังหรือต้นปี 66
SEAFCO ฟื้นตัวชัดเจนQ4 ส่งผลดีถึงปี 66
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง SEAFCO ว่า คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 65 จะดีขึ้น หากเริ่มงาน Central Embassy ได้ และจะใช้กำลังการผลิตได้มากขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสจะฟื้นตัวกลับมาเป็นบวก ปัจจุบันอยู่ในช่วงการยื่นเสนองานประมูล 8.9 พันล้านบาท
โดยคาดว่าครึ่งปี หลังดีตรงเริ่มงานสะพานพระราม 2-งานประมูลใหญ่ๆ ซึ่งบริษัทได้มา 2 ตอน มูลค่างานไม่คิดค่าแรงอยู่ที่ 200-300 ล้านบาท และมีอัตรากำไรอยู่ในเกณฑ์ดี ในกรณีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ที่ได้ผู้เสนอราคาต่ำสุดไป 3-4 รายแล้ว ก็คาดว่า SEAFCO จะได้งานฐานราก โดยเฉพาะจาก CK ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดี แต่เนื่องจากงานนี้เป็นลักษณะการออกแบบให้เสร็จก่อนแล้วจึงก่อสร้าง ต้องใช้เวลาในการออกแบบนาน ทาง SEAFCO คาดว่ากว่าจะได้งานจะเป็นช่วงปลายปี 2565 นี้ หรือต้นปี 2566 ส่วนสายสีส้มตะวันตก หากเริ่มประมูลงานได้ปีนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งโอกาส คงคำแนะนำ "ถือ" ให้ราคาพื้นฐาน เป็น 3.69 บาท
บล.กรุงศรี ประเมิน บมจ.ซีฟโก้ หรือ SEAFCO คาดผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรในช่วงครึ่งหลังปี 65 เนื่องจากอัตราการใช้เครื่องจักรฟื้นตัวเป็น 60-70% และคาดว่าจะได้สัญญาใหม่เพื่อเพิ่ม Backlog ในไตรมาส 4 เนื่องจาก CK ซึ่งเป็นพันธมิตร ได้สัญญาใหม่ 2 สัญญาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้มูลค่า 1.81 หมื่นล้านบาท และมีงานฐานรากราว 400-600 ล้านบาท โดยงานฐานรากของรถไฟฟ้าใต้ดิน จะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่างานฐานรากทั่วไป คาดผลดำเนินงานจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในปี 66 จากเมกะโปรเจกต์หลายโครงการรอประมูล ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น" ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 4.40 บาท
บล.ดาโอ แนะนำ "ถือ" หุ้น SEAFCO จากเดิมให้ "ขาย" ปรับราคาเป้าหมายเดิม 2.50 เป็น 3.50 บาท/หุ้น จากเดิมให้ จากการ re-rate PBV ขึ้นเป็น 1.8x จากเดิม 1.3x เพื่อสะท้อนทิศทางการนำเข้าแรงงานและ backlog ที่ทยอยเพิ่มเล็กน้อยอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท และ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเข้ารับงานสายสีม่วงใต้ 3 สถานี โดยมูลค่างานอาจสูงถึง 1 พันล้านบาท คาดได้ข้อสรุปในปี นี้, และ งานศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี (ส่วนต่อขยาย) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 55% ของ backlog มีกำหนดเริ่มงานภายใน ต.ค. นี้ หลังจากถูกเลื่อนมา 2 ปี คงประมาณการปี 65 ขาดทุนสุทธิ 127 ล้านบาท โดยประเมินครึ่งปีหลัง จะขาดทุนลดลง จากการทยอยนำเข้าแรงงาน ส่งผลให้งานก่อสร้างทำได้คล่องตัวขึ้นและช่วยหนุน capacity การรับงานใหม่
บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า SEAFCO รายงานผลประกอบ การไตรมาส 2/2565 ขาดทุน 57 ล้านบาท ท ใกล้เคียงที่เราคาด โดยภาพรวมอ่อนแอขึ้นเทียบกับไตรมาสแรก และไตรมาส 2 ปี 64 ที่กำไรปกติ 1 ล้านบาทเพราะ ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ส่งผลต่อศักยภาพการรับงานกดดันรายได้หดตัว 28% ซึ่งไม่เพียงพอต่อค่าเสื่อมและค่าแรงที่เป็นต้นทุนคงที่ รวมถึงยังเผชิญการแข่งขันรุนแรงในตลาด ส่งผลให้ Gross Margin ติดลบมากขึ้น แม้ครึ่งปีแรกขาดทุน 94 ล้านบาท ทิศทางงบไตรมาส 3 คาดฟื้นตัวแต่ยังไม่ชัดเจน แม้จะมีงานก่อสร้างหลักของทางยกระดับพระราม 2 และงานเอกชนที่รับใหม่ 200 ล้านบาท รวมถึงการนำเข้าแรงงาน 50 รายในเดือนกันยายน 2565 แต่ยังคงประมาณการปี 65 ขาดทุน 80 ล้านบาท จึงคงราคาเหมาะสม 4 บาท แนะนำ "ถือ " รอฟื้นตัวและรับงานใหม่ในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่า หุ้น SEAFCO จะเริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้งที่ผลประกอบการจะกลับมาเป็นกำไรชัดขึ้น รวมถึงมี Catalyst จากรับงานใหม่ และมีโอกาสสูงที่ได้รับงานเนื่องจากมีโครงการที่อยู่ระหว่างทำในกลุ่มบริษัทเดียวกันอย่าง Central Embassy ซึ่งเป็นบวกต่อรายได้และผลประกอบการปี 66
นี่คือบริษัทจดทะเบียนบางส่วนที่ได้รับผลดีจากการเข้าประมูลงานภาครัฐ และหนุนแรงงานกลับเข้าสู่ระบบ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะที่จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะอุตสาหกรรมก่อสร้างถือว่าแรงงานยังจำเป็นต่อการขับเคลื่อนงานให้เดินหน้า แม้ว่าการปรับเพิ่มค่าแรงจะมีผลกระทบต่อตัวเขกำไรอยู่บ้างแต่กูรูมองว่าแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น