บรรยากาศซื้อขายหุ้นวันอังคารที่ผ่านมา กลับสู่ความคึกคักอีกครั้ง ดัชนีราคาหุ้นพุ่งทะยาน โดยได้แรงหนุนจากกองทุนในประเทศที่ไล่ซื้อหุ้นอย่างหนัก หลังจากปักหลักขายมายาวนาน
ดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1,633.87 จุด เพิ่มขึ้น 11.87 จุด มูลค่าซื้อขายทั้งสิ้น 70,060.33 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนในประเทศซื้อหุ้นสุทธิ 2,807.02 ล้านบาท และเป็นผู้ซื้อเพียงกลุ่มเดียว ขณะที่พอร์ตโบรกเกอร์ นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขาย
หุ้นที่โดดเด่นนำตลาดคือหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า นำโดยหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ซึ่งราคาปิดที่ 56 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงนับจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือเพิ่มขึ้น 9.80% มูลค่าซื้อขาย 6,109.35 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่ซื้อขายสูงสุดอันดับหนึ่งประจำวัน
ส่วนหุ้นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ปิดที่ 86.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 2,413.72 ล้านบาท
แรงซื้อที่ไหลทะลักเข้ามาในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า คาดว่าเป็นแรงซื้อของกองทุนในประเทศ
เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่ต่างชาติกลับมาไล่ซื้อหุ้นอย่างต่อเนื่อง มียอดซื้อสุทธิกว่า 5 หมื่นล้านบาท แต่กองทุนขายสวนทางต่างชาติ และตั้งแต่ต้นปี กองทุนมียอดขายหุ้นสะสมสุทธิ 118,452.73 ล้านบาท ขณะที่ต่างชาติมียอดซื้อหุ้นสะสมสุทธิ 166,669.93 ล้านบาท
มีคำถามว่า กองทุนกลับมาไล่ซื้อหุ้นด้วยเหตุผลใด เพราะตั้งหน้าตั้งตาขายมาตลอด ขายตั้งแต่ดัชนีระดับ 1,660 จุด จนดัชนีปรับตัวลงแถวระดับ 1,510 จุดเศษ แต่ดัชนีดีดขึ้นมาใกล้ 1,650 จุดกลับมาซื้อ
อย่างไรก็ตาม การกลับมาของกองทุนเป็นสิ่งที่นักลงทุนรอคอย และเข้ามาซื้อในจังหวะที่ตลาดกำลังขาดแรงซื้อ เพราะต่างชาติเริ่มหันมาขายหุ้น จนภาวะตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวสู่ช่วงขาลง ซึ่งโบรกเกอร์หลายสำนักประเมินว่า ดัชนีอาจถอยไปสู่แนวรับระดับ 1,600 จุดอีกครั้ง
แต่กองทุนโดดเข้ามารับไม้ต่อจากนักลงทุนต่างชาติ กลายเป็นกองหนุนที่ขับเคลื่อนดัชนีให้เดินหน้าต่อ และมีโอกาสที่จะฝ่าแนวต้าน 1,650 จุดได้ ถ้ากองทุนซื้อต่อเนื่อง
สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่เป็นนักสะสมหุ้น โดยซื้อในจังหวะตลาดปรับฐานหรือดัชนีติดตัวแดง ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการขายทำกำไร เมื่อฝรั่งซื้อก็ขายฝรั่ง เมื่อกองทุนซื้อก็ขายหุ้นเปลี่ยนมือไปให้กองทุน และน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม
เพราะนักลงทุนรายย่อยถือหุ้นอยู่เต็มมือ จึงถึงเวลาที่จะ “ปล่อยของ” และเพิ่มสัดส่วนเงินสดในมือ
ตลาดหุ้นมักมีสิ่งนอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นเสมอ เช่น สถานการณ์การลงทุนในช่วงนี้ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มองว่าหุ้นมีแนวโน้มลง เพราะมีปัจจัยลบกดดันรอบด้าน ทั้งปัญหาเงินเฟ้อ แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และวิกฤตพลังงานในยุโรป อันเป็นผลพวงจากสงครามรัสเซียกับยูเครน
แต่ดัชนีนอกจากประคองตัวอยู่ได้แล้ว ยังมีสิทธิที่จะพุ่งขึ้นยืนเหนือ 1,650 จุดได้ ถ้ากองทุนปรับกลยุทธ์กลับมาไล่ซื้อหุ้น และหากต่างชาติมาซื้อหุ้นอีกแรง หุ้นจะวิ่งฉิวทันที
เพียงแต่กองทุนจะกลับมาซื้อหุ้นจริงไหม จะไล่ช้อนหุ้นเพียงชั่วคราว หรือปักหลักซื้อคืนอีกพักใหญ่ๆ
ตอนนี้ต้องหันมาจับตาบทบาทของกองทุนแล้ว ถ้ากองทุนกลับมาจริง หุ้นที่กำลังไต่ขึ้นรอบนี้คงไม่ปิดฉากลงง่ายๆ