พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร รองผบช.สอท. พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รอง ผบก.สอท.1 และ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แถลงร่วมกันในการบุกเข้าทลายเครือข่ายหลอกลงทุนเหมืองทิพย์ขุดคริปโต P Miner โดยได้ตรวจยึดของกลางทั้งบัญชีเงินสดกว่า 112 ล้านบาทพร้อมทั้งรถ Super Car หลายคัน และสินทรัพย์อื่นๆอีกหลายรายการ ณ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี
พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท. กล่าวว่าการหลอกลวงในการลงทุนตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น สืบเนื่องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.2565 โดยผู้ต้องหาร่วมกับพวก ได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนหลอกลวงประชาชนทั่วไปผ่านเฟซบุ๊ก และกลุ่มไลน์ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี มายเนอร์ คริปโตเคอร์เรนซี่ กรุ๊ป ในการเชิญชวนให้สมัครเป็นสมาชิก และร่วมลงทุนขุดเหรียญ และเทรดเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี ตามโครงการต่างๆ ซึ่งมีมากกว่า 30 โครงการ ยกตัวอย่างเช่น ลงทุนทำระบบ ETH, ลงทุนทำระบบ 3m, โปรเจ็กยินดีต้อนรับ, Go to laos เป็นต้น ซึ่งแต่ละโครงการจะมีเงื่อนไขถึงจำนวนเงินการลงทุนในการเชื้อเชิญ และได้รับผลกำไรที่แตกต่างกัน เช่น หากลงทุน 50,000 บาท จะได้รับการคืนทุน 5 ครั้ง ทุกวันที่ 6 ของเดือน โดยแบ่งเป็นงวดๆ ละ 8,000 บาท 13,000 บาท 16,000 บาท 20,000 บาท และ 24,000 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 80,000 บาท บางโครงการอ้างว่าได้กำไรมากถึงร้อยละ 82 ต่อเดือน หรือได้กำไรร้อยละ 1,000 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายจะพึงจ่ายได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้เสียหายหลงเชื่อ และโอนเงินมาให้แล้ว ทาง P Miner ก็จะจัดส่งหนังสือสัญญาการลงทุนไปให้ ซึ่งในสัญญาจะระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อโครงการที่ลงทุน จำนวนเงินที่ลงทุน ระยะเวลาที่ลงทุน จำนวนครั้งและจำนวนผลตอบแทนที่จะได้รับเงินกลับมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่ามีการลงทุนจริง โดยในช่วงแรกๆ ของการเริ่มลงทุน ผู้เสียหายจะได้รับผลตอบแทนกลับมาบางส่วนจริง จนกระทั่งเดือน ส.ค.2565 ผู้เสียหายกลับพบว่าไม่ได้รับเงินปันผลจากการลงทุนแต่อย่างใด แม้จะมีการทวงถามไปยังเจ้าของหลายครั้ง โดยได้รับคำตอบในการบ่ายเบี่ยงด้วยเหตุผลต่างๆ อีกทั้งผู้ต้องหายังได้อ้างเหตุถึงความขัดข้องต่างๆ ที่ไม่สามารถติดต่อได้ในเวลาต่อมา จนกระทั่งผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงได้รวมตัวกันแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ต้องหาตามกฎหมายและนำมาสู่การออกหมายจับผู้ต้องหา 2 ราย คือนายกิติกร อินต๊ะ ซีอีโอบริษัท พี มายเนอร์ คริปโตเคอเรนซี่ กรุ๊ป และน.ส.ณัฐวดี แฟนสาว ในความผิดร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโฆษณา กู้ยืมเงิน ในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินกำหนด ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนและร่วมกัน ประกอบการโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก่อนตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาในพื้นที่ จ.เชียงใหม่
ขณะที่ พ.ต.อ.ทำนุรัฐ ธารีฉัตร รองผบช.สอท.กล่าวเพิ่มเติมว่า เบื้องต้นตรวจยึดของกลางที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำความผิดหลายรายการ อาทิเช่น รถยนต์ ยี่ห้อ เบนท์ลี่ย์ เบนเทย์ก้า, ลัมโบร์กินี, เฟอร์รารี่ สไปเดอร์, ปอร์เช่ 718 บ็อกสเตอร์, บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์โฟร์, รถจยย.ฮาร์เลย์ เดวิดสัน, เครื่องขุดเหรียญคริปโตจำนวน 50 เครื่อง พร้อมทั้งอายัดเงินในบัญชีของขบวนการผู้ต้องหาได้จำนวน 117 บัญชี โดยอายัดเงินในบัญชีจำนวนกว่า 112 ล้านบาท
ขณะเดียวกันยังได้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ thaipoliceonline.com แล้วกว่า 341 ราย ความเสียหายรวมกว่า 439 ล้านบาท ซึ่งมีผู้เสียหายบางส่วนเข้าแจ้งความกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อีกประมาณ 500 ราย รวมผู้เสียหายจากการฉ้อโกงครั้งนี้เกือบ 1000 ราย
"ในโอกาสใกล้ครบรอบการสถาปนา กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ครบรอบ 2 ปี และอาจจะเป็นการปฎิบัติการโอปเรชั่นช่วงท้าย ๆ แล้วหรือไม่ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ก็ต้องบอกว่าเราก็จะทำงานจนกระทั่งหมดเวลา ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามผมจะต้องขยับไปอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ความรับผิดชอบในความเป็นตำรวจก็จะติดตัวผมอยู่ตลอด ไม่มีคำว่าหยุด หรือพอแล้ว เพราะผมจะโยกย้ายขึ้นแล้ว หรือเปลี่ยนสายงาน มันไม่ใช่วิสัยของผม เพราะผมทำงานจนหยดสุดท้าย ยิ่งผมเป็นนักกีฬารักบี้ตราบใดที่เสียงนกหวีดยังไม่เป่าหมดเวลา ผมก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับการทลายการเครือข่ายหลอกลงทุน P Miner เป็นผลงานสำคัญของทาง พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผบก.สอท.1 ซึ่งท่านก็จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งท่านก็ตั้งใจบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และนำทรัพย์สินมาคืนให้ผู้เสียหาย" พล.ต.ท.กรไชย กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ การปฏิบัติการของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ยังคงมุ่งเน้นที่จะดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม คำนึงถึงความเดือดร้อน และการอำนวยความยุติธรรมของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญและจะติดตามตัวผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีมาดำเนินคดีต่อไป
