xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มต้นลงทุนฉบับมือใหม่หัดเล่นหุ้นกับ ปฏิญญา เทวอักษร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



‘หุ้น’ เป็นอีกหนึ่งการลงทุนยอดฮิตที่หลายคนเลือกให้เป็นช่องทางการหารายได้เสริม แต่แน่นอนว่าการลงทุนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่สนใจต้องศึกษาหาความรู้อย่างจริงจัง วันนี้เราจึงอยากชวนทุกคนไปดูวิธีเริ่มต้นลงทุนหุ้นฉบับมือใหม่ กับผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างคุณปฏิญญา เทวอักษร (Patinya Dheva-aksorn) เพื่อให้การเล่นหุ้นเป็นไปอย่างถูกทิศทาง ลดความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนที่ตนเองพึงพอใจที่สุด

ปูพื้นฐานก่อนการเล่นหุ้นกับปฏิญญา เทวอักษร

ไม่ว่าคุณจะเคยลงทุนหุ้นหรือไม่ การมีความรู้พื้นฐานในการเล่นหุ้นที่ดี ก็เหมือนการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อนำไปสู่การต่อยอดในการลงทุนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งพื้นฐานที่มือใหม่ของวงการควรรู้ มีดังนี้

หุ้น ตลาดหลักทรัพย์ กลต. ข้อมูลพื้นฐานก่อนการเล่นหุ้น

● หุ้นคืออะไร

‘หุ้น’ คือการแสดงความเป็นเจ้าของของกิจการนั้น ๆ ที่คุณสนใจและเข้าไปซื้อ และมีฐานะเป็น ‘เจ้าของกิจการ’ โดยจะมีส่วนได้ส่วนเสีย สิทธิในทรัพย์สิน และรายได้ของกิจการนั้น ๆ ทั้งนี้ยังมีโอกาสได้รับเงินปันผล แต่จะขึ้นอยู่กับข้อตกลงและผลกำไรของกิจการในขณะนั้น

● ตลาดหลักทรัพย์คืออะไร

‘ตลาดหลักทรัพย์’ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ตลาดหุ้น เป็นพื้นที่ที่ให้นักลงทุนสาธารณะ (ประชาชนทั่วไป) เข้าซื้อและขายหุ้นกับบริษัทที่สนใจ โดยบริษัทนั้น ๆ จะลงรายการหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ขั้นตอนนี้เรียกว่าการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO (Initial Public Offering) เพื่อให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นได้

● กลต.คืออะไร

‘กลต.’ คือสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นองค์กรอิสระ มีหน้าที่ดูแลกำกับตลาดทุน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1. ตลาดแรก หรือตลาดที่ออกหลักทรัพย์ใหม่ กลต. จะพิจารณาให้ความเห็นชอบการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทที่จะออกหุ้น IPO

2. ตลาดรอง หรือตลาดสำหรับซื้อขายหลักทรัพย์ กลต. มีหน้าที่ดูแลให้เกิดความเป็นธรรมในการซื้อขาย และกำกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาทางการเงิน

เริ่มลงทุนในหุ้นต้องทำยังไง

ทำความรู้จักกับสิ่งที่ควรรู้พื้นฐานในการลงทุนหุ้นกันไปแล้ว เราจะพาคุณไปศึกษาต่อว่าการเริ่มลงทุนหุ้นนั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง

1.ศึกษาหาความรู้พื้นฐานก่อนลงทุน

ก่อนคุณจะลงเงินกับหุ้นใด ๆ ควรศึกษาว่าหุ้นที่คุณสนใจนั้นสามารถมอบกำไรให้คุณอย่างไรบ้าง? โดยทั่วไปจะมี 2 แบบคือ เงินปันผลและส่วนต่างราคา

แน่นอนว่าการลงทุนหุ้นก็คือการซื้อขาย เพราะฉะนั้นราคาย่อมมีขึ้นและลง สิ่งที่คุณต้องรู้อีกอย่างคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการขึ้น - ของราคาหุ้น โดยเราจะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ด้านล่างนี้

・ ความต้องการซื้อ (Demand) และความต้องการขาย (Supply) ถ้ามีการเทขายหุ้นมาก ราคาจะลดลง แต่ถ้ามีการซื้อที่มากกว่า ราคาจะขึ้น

・ บริษัทมีแนวโน้มทำกำไรมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การออกเงินปันผล หรือเกิดส่วนต่างราคา คนจึงหันมาสนใจหุ้นตัวนี้เพิ่มขึ้น

2.เปิดพอร์ตการลงทุน

ก่อนเปิดพอร์ตการลงทุนต้องพิจารณาว่าโบรกเกอร์ไหนอำนวยความสะดวกในการเปิดพอร์ตได้ดีกว่า เช่น เปิดพอร์ตผ่านช่องทางออนไลน์กับเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ หรือผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร รวมถึงสามารถให้คำปรึกษา ให้บทวิเคราะห์หุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมหรือหุ้นรายตัวได้ดี ตรงนี้จะทำให้คุณสามารถเล่นหุ้นได้อย่างมั่นใจขึ้นเพราะมีคนคอยช่วยดูแล

ทั้งนี้การคิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำก็เป็นอีกเรื่องที่ใช้ตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ ซึ่งถ้าคุณยังไม่ได้ลงทุนในจำนวนเงินที่สูงมากจนต้องเสียค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ เราแนะนำให้มองหาโบรกเกอร์ที่ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมดีกว่า

จากนั้นก็มาดูกันต่อว่าคุณจะต้องเปิดพอร์ตประเภทไหน? ซึ่งบัญชีหุ้นจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

1. บัญชีเงินสด (Cash Account) สามารถใช้ซื้อได้เลย แล้วค่อยจ่ายเงินให้กับโบรกเกอร์หลังจากนั้น

2. บัญชีแคชบาลานซ์ (Cash Balance / Pre - Paid / Cash Deposit) สามารถซื้อหุ้นได้ตามจำนวนเงินที่มีในบัญชี

3. บัญชีเครดิตบาลานซ์หรือบัญชีมาร์จิน (Credit Balance Account / Margin Account) ข้อดีของบัญชีประเภทนี้คือสามารถยืมเงินจากโบรกเกอร์มาซื้อหุ้นก่อนได้

3.เลือกหุ้นที่จะลงทุน

การเลือกหุ้นที่ดีเพื่อลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยวิธีการดูหุ้นก่อนเลือกลงทุนทำได้ดังนี้

1. กิจการนั้น ๆ มีผลประกอบการดี สร้างกำไรต่อเนื่อง และเติบโตสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

2. ดูอัตราส่วนทางการเงินประกอบ ดังนี้

・ P/E (Price-to-Equity) คือค่าบอกความถูกหรือแพงของหุ้น โดยเราจะอธิบายวิธีคิดในหัวข้อต่อไป

・ P/BV (Price-to-Book Value) คือราคาหุ้นหารด้วยมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น ถ้าราคาหุ้นมี P/BV ต่ำกว่า 1 แปลว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท หรือราคาหุ้นถูก

・ ROE (Return on Equity) คือตัวบอกความแข็งแกร่งของบริษัท เป็นตัวบอกความสามารถในการทำกำไรของเงินลงทุนของผู้ถือหุ้น โดยดูย้อนหลังไป 5 - 10 ปี

・ DE (Debt-to-Equity) คืออัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น แสดงถึงโครงสร้างทางการเงินของกิจการ และมีเงินกู้ยืมต่อเงินลงทุนเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ ยิ่ง DE ต่ำ แปลว่ากิจการนั้นมีภาระดอกเบี้ยที่น้อยกว่า

・ เงินปันผล (Dividend Yield) หากคุณชอบการได้รับเงินปันผล ควรเลือกหุ้นที่มี Dividend Yield สูง

3. บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

4. ความสามารถของผู้บริหารและธรรมาภิบาลของบริษัท

5. บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ เช่น อุตสาหกรรมที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล เป็นต้น

เลือกหุ้นยังไง วิธีการเลือกหุ้นสำหรับมือใหม่กับ ปฏิญญา เทวอักษร

จากหัวข้อด้านบนทุกคนก็ได้เรียนรู้วิธีเลือกหุ้นเบื้องต้นกันไปแล้ว ต่อมาเราจะดูวิธีเลือกหุ้นสำหรับมือใหม่กับมืออาชีพในวงการนี้อย่างคุณปฏิญญา เทวอักษร

เลือกหุ้นที่รู้จัก

・ รู้จักธุรกิจดี เช่น BTS ซึ่งคุณจะเห็นการใช้งานอย่างหนาแน่นเป็นประจำในทุกวัน ก็พอจะประเมินรายได้ของธุรกิจและเข้าใจธุรกิจนั้นได้ง่าย หรืออย่าง SCB ซึ่งเป็นธนาคารแนวหน้าที่คนไทยนิยมใช้ มีบริการที่ครบครัน พัฒนาการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกอย่างต่อเนื่อง จนคนเปลี่ยนมาใช้งานกับธนาคารนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ยังมีอีกบริษัทขนส่งที่น่าจับตามองอย่าง KIAT หรือบริษัท เกียรติธนา ขนส่ง จำกัด (มหาชน) ที่มีวิสัยทัศน์ในการมุ่งเป็นผู้นำทางด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร รวมถึงตั้งใจให้บริการเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมพลังงาน เคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งดูจากพื้นฐานของธุรกิจแล้วมีโอกาสเติบโตได้อีก

・ รู้จักราคา เช่น การประเมิน P/E ซึ่งเป็นตัวบอกว่าถ้าซื้อหุ้นที่ราคาเท่านี้ ณ ขณะนี้ เราจะได้ทุนคืนในอีกกี่ปี หากบริษัทยังทำกำไรได้เท่าเดิมในทุกปี โดยมีวิธีการคิดดังนี้

- นำราคาหุ้นหารด้วยกำไรต่อปี จากนั้นดูว่าราคาเป็นกี่เท่าของกำไร หรืองพูดง่าย ๆ คือซื้อตอนนี้ อีกกี่ถึงจะคืนทุน

ตัวอย่างเช่น คุณซื้อหุ้น P/E 10 เท่า ในราคา 20 บาทต่อหุ้น และบริษัทมีกำไรสุทธิ 2 บาทต่อหุ้นในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สรุปคือคุณจะได้เงินปีละ 2 บาทและคืนทุนภายใน 10 ปี หากบริษัททำกำไรสุทธิได้เท่าเดิมทุกปี

อ่านงบการเงิน

การอ่านงบการเงินเป็นสิ่งที่นักลงทุนหุ้นควรให้ความสำคัญ เพราะอาจนำไปสู่โอกาสดีในการทำกำไรได้ โดยวิธีการดูแบบรวบรัดและง่ายต่อมือใหม่ มีดังนี้

1. รายการสินทรัพย์ โฟกัสที่เงินสดในบรรทัดแรก เพราะมีสภาพคล่องและนำไปใช้จ่ายได้ทันที รวมถึงทำให้รู้ขนาดของธุรกิจ การเติบโต และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินลงทุนในสินทรัพย์ด้วย

2. หนี้สิน ทั้งนี้บริษัทควรมีเงินสดหรือลูกหนี้มากกว่าหนี้ระยะสั้น

3. ผู้ถือหุ้นและกำไรสะสม ตรงนี้จะบอกถึงเงินลงทุนตั้งแต่จัดตั้งรวมกับกำไรสุทธิ ซึ่งได้มาจากการทำธุรกิจตั้งแต่ก่อตั้ง - ปัจจุบัน หากมีกำไรสะสมสูง ยิ่งแสดงถึงการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ มีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น รวมถึงยังตรวจสอบความมั่นคงของบริษัทได้เช่นกัน

อ่านกราฟเทคนิค

จากกันไปด้วยหัวข้อที่สำคัญอีกหนึ่งหัวข้ออย่างการ ‘อ่านกราฟเทคนิค’ โดยวิธีที่คนนิยมใช้อ่านกราฟคือ ‘แนวรับและแนวต้าน’ ซึ่งใช้ดูประกอบกับแท่งเทียนบนกราฟได้ ดังนี้

・ แนวรับ คือบริเวณที่กราฟลงมาแตะมากที่สุด เมื่อแต่จุดนั้นเมื่อไหร่ ราคาหุ้นก็จะไม่หลุดจากราคานั้น ๆ และจะเด้งกลับขึ้นไปในราคาที่สูงกว่า

・ แนวต้าน คือจุดที่ต้านไว้ไม่ให้หุ้นขึ้น ดูได้จากที่หุ้นขึ้นไปถึงตรงนั้นเมื่อไหร่ ก็จะตกลงมาและไม่ผ่านตรงนั้นสักที ยิ่งแนวต้านไหนที่มีแท่งเทียนแตะมาก ยิ่งนับเป็นจุดที่มีแนวต้านแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

ทั้งหมดนี้คือแนวทางและเรื่องที่ควรรู้สำหรับมือใหม่หัดเล่นหุ้น ซึ่งสามารถใช้ประกอบการศึกษาเพื่อลงทุนได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องตลอดการลงทุน ย่อมทำให้คุณพัฒนาฝีมือจากมือใหม่เป็นมืออาชีพในวงการนี้ได้ดีขึ้นกว่าอย่างแน่นอน
กำลังโหลดความคิดเห็น