ฮาบิแทท กรุ๊ป ประกาศความสำเร็จ “เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา” พร้อมเดินหน้าต่อยอดกับโครงการ “เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท” ยกระดับไลฟ์สไตล์เพื่อการพักผ่อนและการลงทุนในโครงการคุณภาพเมืองท่องเที่ยว รับกำลังซื้อ-เศรษฐกิจเมืองพัทยา “เทิร์นอะราวนด์” รอบใหม่ จากสัญญาณบวกด้านโครงการลงทุนภาครัฐ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวพลิกฟื้น กลุ่มทุนใหญ่เร่งกลยุทธ์การลงทุน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองท่องเที่ยวเริ่มพลิกฟื้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาได้ 40-50% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์โควิด-19 จากหลายปัจจัย ได้แก่ แผนกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งระดับประเทศ โดยเฉพาะเมืองพัทยา พบว่า โรงแรมเริ่มกลับมาเปิดให้บริการแล้วประมาณ 70% และมีอัตราการเข้าพักถึงเฉลี่ย 60-70%
ส่วนในปี 2566 คาดการณ์ว่าตัวเลขน่าจะพลิกฟื้นกลับมาได้ 70-80% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้มั่นใจได้ว่าในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้จะเป็นโอกาสของธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม และการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวกลับมาทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว และการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย หรือเป็นบ้านตากอากาศหลังที่ 2 เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว
จับสัญญาณพัทยาฟื้นตัว “ท่องเที่ยว-ลงทุน”
นายชนินทร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจในพัทยาฟื้นตัวดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2565 พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้ามาจังหวัดชลบุรีแล้ว 6 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้เดินทางเข้าเมืองพัทยาถึง 80% เป็นชาวต่างชาติ 1 ล้านกว่าคน หลังจากเปิดประเทศทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเริ่มทยอยเดินทางเข้ามามากขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย อังกฤษ เวียดนาม และเยอรมนี เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ประมาณปี 2561 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ประมาณ 14 ล้านคน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่า 4 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งในช่วงเวลานั้นส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย และรัสเซียเป็นหลัก
จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า ตลาดคอนโดมิเนียมพัทยามีการเปิดขายใหม่ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ประมาณ 810 ยูนิต บนทำเลถนนเลียบหาดจอมเทียน และนาจอมเทียน-บางเสร่ ซึ่งมาจากผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าตลาดพัทยาโดยรวมจะฟื้นตัวกลับมา เพราะนอกจากเปิดขายใหม่แล้วยังมีหน่วยเหลือขายอยู่ในตลาดบางส่วน และมีคอนโดมิเนียมที่เคยชะลอโครงการเริ่มกลับมาดำเนินการก่อสร้างกันบ้างแล้ว
จากปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้มั่นใจว่าตลาดอสังหาฯ พัทยาที่เริ่มกลับมาอยู่ในความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มบ้านพักตากอากาศ ที่พบดีมานด์จากนักลงทุนเริ่มมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่เหลืออยู่พร้อมขายในพื้นที่เริ่มมีจำนวนยูนิตน้อยลง และไม่ได้มีการปรับราคา ซึ่งข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย สะท้อนว่าอุปทานเหลือขายสะสมในตลาดพัทยาช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีประมาณ 20,000 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นคอนโดมิเนียมที่มีห้องขนาดใหญ่ริมทะเลอยู่ที่ 1% ของอุปทานที่เหลือขายในตลาด จึงเป็นโอกาสของผู้ซื้อทั้งอยู่เอง ปล่อยเช่า และเพื่อการลงทุน เนื่องจากดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ชะลอโครงการไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจากสถานการณ์โควิด-19
“พัทยายังเป็นทำเลที่เป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จากตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวไทยเลือกเดินทางในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ เพราะสะดวกในการเดินทางและค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อฮอลิเดย์โฮมในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพฯ ขณะที่อีกส่วนมาจากจีน รัสเซีย ยุโรป” นายชนินทร์ กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีผลมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของรัฐบาล และเมกะโปรเจกต์ของบริษัทเอกชนที่เข้าไปลงทุน ทั้งจากกลุ่มอสังหาฯ ที่เปิดตัวโครงการใหม่ในโซนอีอีซีกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจอีอีซีมีสัญญาณบวก ตลอดจนทางเมืองพัทยาได้เดินหน้าสานต่อแผนยุทธศาสตร์พัทยาโฉมใหม่ หรือ “นีโอ พัทยา” ที่วางแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับการเติบโตของอีอีซี เน้นการพัฒนาพื้นที่และแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย
เทกฯ คอนโดฯ เนรมิตเปิด “เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท”
นายชนินทร์ กล่าวถึงการพัฒนาโครงการใหม่ว่า ทางบริษัทได้ตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ข้างๆ โครงการแรก คือ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา ของบริษัทฯ เพื่อมาปรับปรุงและปรับคอนเซ็ปต์ของการพัฒนาภายใต้ชื่อ “เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท” มูลค่าโครงการ 838 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการใหม่ของบริษัทฯ ที่ต่อยอดจากความสำเร็จในโครงการแรก มีจุดเด่นตั้งอยู่ในทำเลคุณภาพติดชายหาดนาจอมเทียน พัฒนาในคอนเซ็ปต์คอนโดฯ แบบโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้อง 119 ยูนิต ขนาดห้องชุดเริ่มตั้งแต่ 30-120 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาท ราคาขาย 1.6 แสนบาทต่อ ตร.ม.
“เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา เป็นโครงการที่ SOLD OUT ปัจจุบัน อัตราการเข้าพักร้อยละ50 เรามองว่าปี 2566 จะเป็นปีที่ดีของอสังหาฯ เนื่องจากมีหลายบริษัทอสังหาฯ ขนาดใหญ่ทั้งธุรกิจโรงแรม ธุรกิจค้าปลีกต่างเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯ พัทยา เริ่มเทิร์นอะราวนด์กลับมา บวกกับปัจจัยสนับสนุนด้านการลงทุนภาครัฐ เป็นแรงกระตุ้นที่ดีให้ตลาดในโซนนี้กลับมาคึกคัก ซึ่งเราเตรียมพัฒนาโครงการใหม่ เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท ที่ยังคงตอกย้ำด้านคุณภาพของทำเล การออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เพื่อการพักผ่อนและตอบโจทย์การใช้ชีวิตการลงทุนของคนยุคใหม่”
ลูกค้ากว่า 70% โอนเงินสดซื้อห้องชุด
นายชนินทร์ กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในรอบครึ่งแรกปี 65 สามารถทำได้กว่า 600 ล้านบาท เฉลี่ยยอดขาย 100 ล้านบาทต่อเดือน จากเป้าหมายทั้งปี 1,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 20% โดยคาดว่าปีนี้จะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ลูกค้าส่วนใหญ่ประมาณ 70% โอนกรรมสิทธิ์ด้วยเงินสด และอีก 30% จะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
สำหรับผลงานที่ผ่านมา ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 8 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุน 6,000 ล้านบาท รวม 1,200 ห้อง เป็นโครงการให้บริการในรูปแบบของโรงแรมและพูลวิลล่าแล้ว จำนวน 4 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา พร้อมเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 1 แห่งในไตรมาส 4 ปี 2565 คือ เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท และในปี 2566 เตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 3 แห่ง คือ วินด์ดัม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา ในไตรมาส 1 เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ คอลเลคชั่น บลูเฟียร์ พัทยา มีการโอนกรรมสิทธิ์และสร้างแล้วเสร็จ 100% พร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 2 และโครงการรามาด้า บาย วินด์ดัม มิรา นอร์ท พัทยา ปัจจุบันทำยอดขายกว่า 90% คาดพร้อมให้บริการในไตรมาส 4 ปี 66
เบย์เฟียร์ พรีเมียร์ สวีท เริ่มต้นราคา 4.5 ล้านบาท เป็นโครงการที่มีการบริหารจัดการโดยโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อโอกาสในการรับผลตอบแทนต่อเนื่อง 30 ปี พร้อมการันตี 7% เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นจะเป็นการแบ่งรายได้จากรายรับค่าห้อง 40% ให้ผู้ซื้อ นอกจากนี้เจ้าของห้องยังสามารถเข้าพักฟรีได้ 14 วันต่อปี ซึ่งหากรวมการเข้าพักฟรี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับประมาณ 1-2%