xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.เผยระบบแบงก์พาณิชย์แกร่ง ย้ำขึ้นดอกเบี้ยนโยบายกระทบภาระครัวเรือนน้อยกว่าเงินเฟ้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธปท.เผยระบบธนาคารพาณิชย์แกร่ง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) 19.6% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 909.6 พันล้านบาท ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 166.6% ย้ำดูแลกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง ประเมินผลกระทบขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 1% เพิ่มภาระครัวเรือน 0.5% 


น ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2565 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อเพื่อดูแลคุณภาพสินเชื่อโดยรวมอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากปีก่อน โดยหลักจากการเติบโตของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง โดยมีรายละเอียดดังนี้


ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 3,076.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) 19.6% เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 909.6 พันล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ 166.6% และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio : LCR) อยู่ที่ 185.5%

ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 ปี 2565 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 6.3% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จาก 6.9% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

สินเชื่อธุรกิจขยายตัวที่ 8.0% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน จากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขยายตัวต่อเนื่องตามความต้องการเงินทุนของภาคเอกชน ส่วนหนึ่งเพื่อผลิตสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นรองรับต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและเพื่อการส่งออก ด้านสินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวได้จากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเป็นสำคัญ

สินเชื่ออุปโภคบริโภคยังคงขยายตัวได้ในอัตรา 3.0% แม้จะชะลอลงบ้างจากไตรมาสก่อน โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังขยายตัวตามอุปสงค์ต่อที่อยู่อาศัยที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้ ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวตามความต้องการสภาพคล่องของภาคครัวเรือนในช่วงที่ค่าครองชีพปรับสูงขึ้น สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวเร่งขึ้นจากความเชื่อมั่นของครัวเรือนที่ปรับดีขึ้นตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้านสินเชื่อรถยนต์ทรงตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ชะลอตัว


ด้านคุณภาพสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และบริหารจัดการพอร์ตสินเชื่อเพื่อดูแลคุณภาพสินเชื่อโดยรวมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non Performing Loan : NPL หรือ stage 3) ของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 527.9 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.88% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk : SICR หรือ stage 2) ทรงตัวอยู่ที่ 6.09%

ธปท.มีการติดตามสถานการณ์ NPL อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ที่มาตรการต่างๆ ได้ส่งผ่าน รวมทั้งมีการยืดอายุของมาตรการที่จะช่วยดูแลลูกหนี้ คาดว่าจะเพียงพอต่อการดูแลลูกหนี้ได้ ส่วนประเด็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เป็นการพิจารณาถึงผลกระทบไว้แล้ว โดยประเมินดอกเบี้ยปรับขึ้น 1% จะกระทบเป็นภาระเพิ่มขึ้นของครัวเรือนเพียง 0.5% ดังนั้นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียง 0.25% ยังกระทบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ธปท.จำเป็นต้องดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย นอกจากนี้การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป


ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวน 64.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน 7.2% โดยหลักจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์ได้ทยอยกันสำรองไว้ในระดับสูงตลอดช่วง COVID-19 ทั้งนี้ หากเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นโดยหลัวจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้เงินปันผล ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets : ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.11% จากไตรมาสก่อนที่ 0.87% ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin : NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.51% จากไตรมาสก่อนที่ 2.45%


สำหรับความคืบหน้ามาตรการฟื้นฟูโดยอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูแล้ว 184,941 ล้านบาท จากวงเงิน 250,000 ล้านบาท จำนวนผู้รับความช่วยเหลือ 54,956 ราย เฉลี่ยวงเงินอนุมัติ 4.5 ล้านบาทต่อราย กระจายในกลุ่มธุรกิจ Micro และเอสเอ็มอี 76.7% โครงการพักทรัพย์พักหนี้ ยอดอนุมัติเข้าร่วมโครงการ 50,721 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 373 ราย


ความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ลูกหนี้ภายใต้การช่วยเหลือยอดภาระหนี้ที่ช่วยเหลือ 2.9 ล้านล้านบาท จำนวนบัญชีที่ได้รับความช่วยเหลือ 3.84 ล้านบัญชี


กำลังโหลดความคิดเห็น