ผลประกอบการไตรมาส 2 ที่เติบโตก้าวกระโดด กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ผลักดันราคาพุ่งทะยานอย่างโดดเด่นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
BH แจ้งผลประกอบการผ่านตลาดหลักทรัพย์ เช้าตรู่วันที่ 11 สิงหาคม ก่อนหยุดยาว 3 วัน โดยไตรมาสที่ 2 ปีนี้มีกำไรสุทธิ 1,166 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 438.60% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 216 ล้านบาท รวมงวด 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 1,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 514.80% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 308 ล้านบาท
ผลกำไรที่เติบโตเกิดจากรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 120.80% และรายได้จากผู้ป่วยในประเทศเพิ่มขึ้น 15.80% โดยรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติมีสัดส่วน 62.30% ของรายได้ทั้งหมด
เมื่อเปิดการซื้อขาย ราคาหุ้น BH ปรับตัวขึ้นทันที โดยเปิดที่ราคา 187 บาท และถูกไล่ขึ้นไปสูงสุดที่ 197 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบปี ก่อนจะอ่อนตัวลงมาปิดที่ 190 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.40% มูลค่าซื้อขาย 3,268.70 ล้านบาท และเป็นหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดอันดับ 3 ประจำวัน
การดีดตัวขึ้นแรงปลุกให้หุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพคึกคักไม่แพ้กัน โดยราคาปิด 28.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือเพิ่มขึ้น 4.63% ท่ามกลางมูลค่าซื้อขายที่หนาตา 2,979.74 ล้านบาท เพราะนักลงทุนคาดหมายว่าผลประกอบการน่าจะเติบโตสูงเช่นเดียวกัน
และ BDMS ได้แจ้งผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ผ่านตลาดหลักทรัพย์หลังปิดการซื้อขายหุ้นวันที่ 11 สิงหาคม โดยมีกำไรสุทธิ 2,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ผู้ป่วยชาวไทย 18% และผู้ป่วยต่างชาติ 69%
รวมงวด 6 เดือนแรก BDMS มีกำไรสุทธิ 6,107 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119% เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกปี 2564
BDMS ค่าพี/อี เรโช 44 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.59% จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 71,529 ราย ถือหุ้นรวมกันคิดเป็นสัดส่วน 68.25% ของทุนจดทะเบียน
ขณะที่ BH มีค่าพี/อี เรโช 81 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.68% และจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 11,957 ราย ถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 50.70% ของทุนจดทะเบียน
ถ้าเทียบปัจจัยพื้นฐานหุ้นโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง ปัจจัยพื้นฐาน BDMS อาจดูดีกว่า โดยเฉพาะค่าพี/อี เรโชต่ำกว่ามาก แม้อัตราเงินปันผลตอบแทนจะใกล้เคียงกัน แต่จำนวนหุ้น BH มีน้อยกว่ามาก โดยมีทุนจดทะเบียนเพียง 794.89 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท ขณะที่ BDMS มีทุนจดทะเบียน 15,892 ล้านหุ้น พาร์ 10 สตางค์
จำนวนหุ้นหมุนเวียนที่น้อยกว่า ทำให้ราคาหุ้น BH สูงกว่าเมื่อเทียบปัจจัยพื้นฐาน เพราะเมื่อความต้องการซื้อหุ้นมีมาก แต่จำนวนหุ้นมีจำกัด นักลงทุนที่ต้องการซื้อจึงต้องสู้ราคา โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการถือระยะยาว
หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด ทำให้รายได้ลดลง โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่มีลูกค้าหรือผู้ป่วยต่างชาติเป็นหลัก เช่น BH แต่หลังจากการเปิดประเทศ และจำนวนชาวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น จึงทำให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีรายได้จากผู้ปวยต่างชาติเป็นหลัก มีรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้ง BH และ BDMS ซึ่งคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการจะกลับมาสดใส
ราคาเป้าหมาย BH จากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์รวม 10 สำนัก เฉลี่ยอยู่ที่ 197 บาท ราคาเป้าหมายต่ำสุดที่โบรกเกอร์บางสำนักกำหนดไว้อยู่ที่ 172 บาท แต่โบรกเกอร์บางแห่งตั้งราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 22 บาท
แม้ว่า BH ยังไม่ทะลุราคาเป้าหมาย แต่ราคาบนกระดานล่าสุด บนค่าพี/อี เรโช 81 เท่า หุ้นโรงพยาบาลแห่งนี้จึงอยู่ในราคาที่สูง และเป็นราคาที่ซื้อการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต
จะไล่ตามเก็บ BH ต้องพร้อมถือลงทุนยาวจริงๆ