ไทยรับประกันภัยต่อ มองทิศทางธุรกิจครึ่งหลังปี 65 ดีกว่าครึ่งปีแรก เติบโตสู่ภาวะปกติ เหตุพ้นวิกฤตโควิด-19 หลังกรมธรรม์ประกันภัยแบบ เจอ-จ่าย-จบ ครบอายุสัญญาแล้ว เดินหน้านำบริษัทย่อย "บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป" เข้าตลาด mai คาดยื่นไฟลิ่งช่วง Q3 ตามแผน ขณะที่งบ Q2/65 มีเบี้ยประกันภัยต่อรับ 1,207 ล้านบาท
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) (THRE) ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) ครอบคลุมทั้งการรับประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุ วิศวกรรม ภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก หลังจากบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากค่าใช้จ่ายสินไหมทดแทนจากกรมธรรม์ประเภท เจอ-จ่าย-จบ ครบอายุสัญญาเรียบร้อยแล้ว
โดยหลังจากนี้ธุรกิจของ THRE คาดว่าจะกลับมาเติบโตสู่ภาวะปกติได้ สะท้อนจากเศรษฐกิจของประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว รวมถึงผู้บริโภคตระหนักถึงการทำประกันภัยด้านต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้การประกันสุขภาพ ประกันภัยอุบัติเหตุและการเดินทาง ประกันภัยทรัพย์สิน วิศวกรรม รวมถึงภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้าต่างประเทศ คาดว่าจะเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประกันสุขภาพ คาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนด้านธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งหลังโควิด-19 ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มสนใจการซื้อประกันผ่านระบบเทคโนโลยี ทั้งการซื้อโดยตรงกับตัวแทน การซื้อผ่านแอปพลิเคชัน และการซื้อผ่านเว็บไซต์ต่างๆ มากขึ้น เนื่องจากมีความคุ้นเคยและเห็นประโยชน์จากการซื้อประกันในระบบดังกล่าว
ทั้งนี้ เรื่องการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ล่าสุด บริษัทดำเนินการตามแผนที่วางไว้โดยได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่และแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ชื่อบริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จากเดิมชื่อบริษัท อีเอ็มซีเอส ไทย จำกัด ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมในการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเตรียมเสนอขายหุ้น IPO ช่วงไตรมาส 3/65
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 2/65 มีเบี้ยประกันภัยต่อรับ 1,207 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิลดลงเหลือเพียง 20 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาส 1/65 ที่ขาดทุน 184 ล้านบาท หรือดีขึ้น 89% ซึ่งหากพิจารณาในงบการเงินเฉพาะกิจการไตรมาส 2/65 กรณีไม่รวมการตัดสิทธิทางภาษี จะพลิกกลับมาเป็นกำไรสุทธิจำนวน 4 ล้านบาท
ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยต่อรับยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเติบโต 18% จากไตรมาส 1/65 แต่ลดลง 8% จาก ไตรมาส 2/64 เนื่องจากในปีก่อนมีเบี้ยประกันภัยประเภทโควิด-19 กรณีที่ไม่รวมเบี้ยประกันภัยโควิด-19 บริษัทจะมีเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิเติบโต 5% จากปีก่อนไตรมาส 2/64 และเติบโต 12% จากไตรมาส 1/65 ซึ่งมาจากการขยายตัวทั้งในส่วนของ Personal line และ Commercial line ที่มีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของรายได้จากการลงทุนสุทธิจำนวน 28 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,700% จากไตรมาส 1/65 เนื่องจากเป็นช่วงเวลารับเงินปันผลจากเงินลงทุน และบริษัทมีรายได้จากการให้บริการสุทธิ 15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาส 1/65 โดยส่วนหนึ่งมาจากการให้บริการอบรมสัมมนาที่เริ่มกลับมาให้บริการได้เป็นปกติ และอีกส่วนหนึ่งมาจากผลการดำเนินงานจากการให้บริการใหม่โดยใช้เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligent) ในการให้บริการสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์ ซึ่งเริ่มให้บริการตั้งแต่ปลายไตรมาส 4/64 เป็นต้นมา และมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานทั้งปี 65 บริษัทมั่นใจว่าจะเติบโตดีกว่าปี 64 แน่นอน หลังผลกระทบจากโควิด-19 ลดลง ประกอบกับบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ยังเติบโตได้ดี ตามการเติบโตของธุรกิจ Non-Conventional หรืองานบริการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับพันธมิตร ขณะที่สัดส่วนรายได้จากพอร์ตการรับประกันของบริษัท แบ่งเป็น อุบัติเหตุและสุขภาพ 46% อสังหาริมทรัพย์ 11% กลุ่มรถยนต์ 33% ขนส่งสินค้าต่างประเทศ 2% และประกันภัยประเภทอื่น 8%