xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยเดือน ส.ค. ลุ้นหลายปัจจัย กูรูให้กรอบดัชนี 1,520-1,630 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"บล.ทรีนีตี้" มองดัชนีหุ้นไทยเดือน ส.ค.แกว่งในกรอบ 1,530-1,630 จุด เพราะตลาดมีการ Price in ข่าวร้ายไปมาก จึงปรับตัวผ่อนคลายชั่วครั้งชั่วคราว สอดคล้องกับเงิน USD ที่ถูก Lock profit บางส่วน จนทำให้เกิดแรง Cover short กลับคืนในกลุ่มสกุลเงิน EM ส่งผลให้มีการซื้อหุ้นไทยกลับของนักลงทุนต่างชาติตามเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ด้าน บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยยังแกว่งตัว Sideway UP คลายกังวลเฟดลดความแรงในการขึ้นดอกเบี้ย และตัวเลขส่งออกของไทยเติบโตโดดเด่นจากเงินบาทอ่อนค่าและกำลังซื้อสินค้าอาหารพุ่งแรงจากภาวะสงคราม ให้กรอบการเคลื่อนไหวเดือนนี้ 1,520-1,620 จุด ส่วน บล.เมย์แบงก์ ฯ มองหลังประกาศงบ Q2 หุ้นไทยมีโอกาสผันผวน ลุ้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศ 10 ส.ค. นี้ ขณะที่จับตาตัวเลข CPI ของไทยที่จะเผยออกมา รวมถึงท่าที ของ กนง.ในการประชุม 10 ส.ค.นี้ อีกทั้งติดตามหลายตัวเลขฝั่งสหรัฐฯและยุโรป

 บล.ทรีนิตี้ คาดดัชนีเดือน ส.ค.แกว่ง 1,530-1,630 จุด 

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนสิงหาคม 2565 ว่า คาด SET Index เดือนสิงหาคมแกว่งตัวในกรอบ 1,530-1,630 จุด มองการรีบาวด์ขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาเป็นเพียงปรากฏการณ์ Bear market rally ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอย แล้วตลาดมีการ Price in ข่าวร้ายไปมาก จึงมีการปรับตัวผ่อนคลายชั่วครั้งชั่วคราว สอดคล้องกับเงิน USD ที่ถูก Lock profit บางส่วน จนทำให้เกิดแรง Cover short กลับคืนในกลุ่มสกุลเงิน EM ส่งผลให้มีการซื้อหุ้นไทยกลับของนักลงทุนต่างชาติตามเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

โดยมองตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เข้าสู่ภาวะ Technical recession ในช่วงไตรมาสที่ 2 แทบไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าตกใจแต่อย่างใด แต่ตัวเลข -0.9% เทียบไตรมาสก่อน ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะยังไม่ใช่จุดต่ำสุดของรอบนี้ ซึ่งประเด็นนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นอาจกลับมาปรับตัวลงอีกครั้ง หากมีตัวเลขเศรษฐกิจใดที่ส่งสัญญาณอ่อนแอมากขึ้น เนื่องจากจะทำให้นักลงทุนเริ่ม Price in กับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่ลึกขึ้น (Deeper recession)

นายณัฐชาต กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่น่ากังวลได้แก่ความชะล่าใจของนักลงทุนที่เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เนื่องจากหากดูจาก Fed Funds futures ล่าสุดจะพบว่า ตลาด Price in การขึ้นดอกเบี้ย Fed ในการประชุมครั้งถัดไปเพียง 58 bps เท่านั้น ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯยังคงทรงตัวในระดับสูงจนทำให้ Fed ตัดสินใจคงอัตราเร่งในการขึ้นดอกเบี้ย อาจเป็นปัจจัยที่กลับมาทำให้เงิน USD แข็งค่าและกดดันสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้งได้ ด้วยเหตุนี้ ตัวเลขที่ยังคงต้องจับตาต่อในเดือนนี้ได้แก่ตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ซึ่งจะออกมาในวันที่ 10 ส.ค.

ขณะที่ในเชิงกลยุทธ์ ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับตัวแปรทางเศรษฐกิจ และตัวแปรทางด้าน Valuation ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ จึงแนะนำนักลงทุนที่ได้เข้าสะสมหุ้น ณ บริเวณดัชนี 1,500-1,530 จุด ตามที่ทางทรีนีตี้แนะนำก่อนหน้านี้ ทยอยขายทำกำไรที่ระดับดัชนีบริเวณ 1,580 จุดขึ้นไป ซึ่งเป็นเส้นแบ่งความถูก/แพงของดัชนีที่เคยให้ไว้ มองกรอบแนวต้านแรกของดัชนี SET เดือนนี้ที่บริเวณ 1,580-1,600 จุด และ แนวต้านสำคัญที่ไม่น่าผ่านได้แก่ระดับ 1,630 จุด ส่วนแนวรับสำคัญของเดือนนี้ให้ไว้ที่บริเวณ 1,530 จุด

นายณัฐชาต กล่าวว่า จากการตรวจสอบความชัน Yield curve ทั่วโลกล่าสุดพบว่ายังคงแบนราบ และระดับ 2s10s spread ยังคงอยู่บริเวณจุดต่ำสุด ซึ่งมักเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อกลุ่ม Cyclical ที่การปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นเพียง Technical rebound ช่วงสั้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ในส่วนของกลุ่มหุ้นแนะนำเดือนนี้ยังคงเน้นไปที่กลุ่ม Defensive play เป็นสำคัญ อาทิ BDMS, CPALL, GPSC, RATCH, WHAUP, ADVANC ผนวกกับการ Selective หุ้นเด่นใน Sector อื่นๆ อย่าง BBL, CPF, JMT, OR

สำหรับปัจจัยอื่นๆที่น่าติดตามประจำเดือนสิงหาคมนี้ได้แก่ รายงานตัวเลข CPI ของไทยประจำเดือนก.ค.ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ ซึ่งล่าสุดตลาดคาดการณ์ขยายตัว 7.9% เทียบปีก่อน และ 0.0% จากเดือนก่อน โดยจะต้องติดตามว่าเงินเฟ้อมีการแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อไปยังคาดการณ์ดอกเบี้ยในตลาด รวมถึง Action ของ กนง.ในการประชุมวันที่ 10 ส.ค.นี้ รวมถึงรายงานตัวเลขเศรษฐกิจชี้นำที่สำคัญโดยเฉพาะตัวเลข PMI ภาคการผลิต ซึ่งล่าสุดจีนรายงานตัวเลขเดือนก.ค.ถือว่าน่าผิดหวังกลับมาอยู่ในโซนหดตัวอีกครั้งที่ระดับ 49.0 โดยต้องติดตามทางฝั่งของสหรัฐฯและยุโรปด้วยเช่นกัน หากออกมาไม่ดีหรือแย่กว่าคาด อาจทำให้ตลาดกลับมากังวลกับภาวะเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง

GBS ให้กรอบดัชนีเดือนส.ค.ที่ 1,520-1,620 จุด 

นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือน ส.ค. มีโอกาสแกว่งตัวในลักษณะ Sideway Up โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณครั้งล่าสุดว่าเฟดจะลดความแรงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงหลายเดือนข้างหน้า หลังจากมีรายงานว่าตัวเลข GDP ของสหรัฐหดตัวลงติดต่อกัน 2 ไตรมาส ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย จึงคาดการณ์การเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ในกรอบ 1,520-1,620 จุด

ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าสนใจและส่งผลบวกต่อการลงทุน อาทิ ทาง สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ประเมินแนวโน้มการส่งออกไทยในปี 2565 ดีมาก และคาดว่าการส่งออกในไตรมาส 3/2565 จะขยายตัวได้ถึง 5% เป็นอย่างต่ำ เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าลงมาก รวมทั้งกำลังซื้อสินค้าอาหารในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้นจากปัญหาขาดแคลนอาหารจากภาวะสงคราม

นอกจากนี้ทางกระทรวงการคลังยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ที่ 3.5% จากปัจจัยบวกเรื่องการท่องเที่ยวที่คาดว่าต่างชาติจะเดินทางเข้ามาไทยกว่า 8 ล้านคนมากกว่าเดิม 6.7 ล้านคน เนื่องจากมีการผ่อนปรนมาตรการเดินทางระหว่างประเทศ และล่าสุดทางคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการคนละครึ่งเฟส 5 คนละ 800 บาท ระหว่าง ก.ย. - ต.ค. 2565 ส่วนกลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ - กลุ่มเปราะบางได้อีกคนละ 400 บาท และลดภาษีประจำปีรถ EV ระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่จดทะเบียน

ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์สำหรับการลงทุนใน 2 กลุ่มเด่น ได้แก่ กลุ่มที่ 1 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ได้แก่ TNP, KK, BJC, MAKRO, CBG, OSP, TKN, ICHI และ SAPPE กลุ่มที่ 2 หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการลดภาษีประจำปีรถ EV ระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่จดทะเบียน ได้แก่ EA, GPSC, FORTH, DELTA และ PIMO

ส่วนทิศทางการลงทุนในทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำในเดือนสิงหาคม มีปัจจัยกดดันจากทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยในเดือนนี้ เพราะตัวเลข GDP ในไตรมาส 2/2565 ของสหรัฐที่ประกาศออกมาติดลบต่อกับถึง 2 ไตรมาสมาอยู่ที่ระดับ -0.9% ทำให้ในระยะถัดไปมีโอกาสมากขึ้นที่ทางเฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของสหรัฐทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 2.66% สะท้อนถึงตลาดกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้แนวโน้มของตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐอาจจะทยอยปรับตัวลดลง

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยประเมินว่าราคาทองคำในช่วงเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวตอบรับข่าวร้ายไปแล้ว อีกทั้งแนวโน้มตัวเลขเศรษฐกิจอาจหดตัวได้ ทำให้ทองคำอาจมีแรงซื้อกลับ คำแนะนำซื้อขายในกรอบ 1,700-1,800$/oz หากไม่หลุดแนวรับ 1,735$/oz ทยอยเข้าซื้อสะสม
 
บล.เมย์แบงก์ ฯ มองหลังประกาศงบ Q2 มีโอกาสผันผวน 

บล.เมย์แบงก์ ฯ  ประเมินเดือนส.ค. มุ่งหน้าสู่ตาพายุ หลังผ่านไปได้จะสดใสขึ้น เริ่มจากปลาย เดือน ก.ค. IMF ปรับคาดการณ์ World GDP Growth ปี 65 และ 66 ลงเหลือ 3.2% และ2.9% ตามลำดับ ผลสืบเนื่องจากสงครามรัสเซียยูเครน ราคาอาหารและพลังงานอยู่ในระดับสูง รวมถึงเศรษฐกิจจีน ชะลอมากกว่าที่คาด ทำให้เปิด Downside ต่อประมาณการ เศรษฐกิจโลกต่อเนื่อง และอาจผลักดันให้บางประเทศเข้าสู่ภาวะ ถดถอยตามนิยาม Technical Recession รวมถึงความกังวลเรื่อง การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในรูปแบบที่คล้ายกับศรีลังกา อาจมีเข้ามา รบกวนเป็นระยะ แต่ประเทศไทยจะยังห่างไกล

จากภาวะดังกล่าว หลังจากนั้นจะตามมาด้วยราคา Commodity ที่ลดต่ำลง แม้กรณี ดังกล่าวจะดีต่อสถานการณ์เงินเฟ้อ แต่ก็จะมี Time Lag ราว 2-3 เดือน เท่ากับว่าเงินเฟ้อในเดือน ก.ค. และ ส.ค. ยังอยู่ระดับสูง กดดัน ให้เห็นการใช้นโยบายการเงินตึงตัวเชิงรุกต้องดำเนินการต่อ ปัจจัยดังกล่าว กดดันค่าเงินบาทยังอยู่ในโซนอ่อนค่า พร้อมกับ Fund Flow ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทย สหรัฐที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะช่วงแรกของเดือน ส.ค. แต่การไหลออก อาจชะลอลง และอาจกลับมาเป็นแรงซื้อ หลังกนง.มีการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงการส่งสัญญาณฟื้นตัวของ GDP งวดไตรมาส 2 ปี 65 จะถือเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนจากสถิติในอดีต เวลาที่ GDP ไทยเติบโต แต่ GDP สหรัฐติดลบ ตลาดหุ้นไทยมักพลิกกลับมา Outperform และ ชนะตลาดหุ้นสหรัฐในไตรมาสนั้นๆ ได้ เดือน ส.ค. ยังเป็นช่วงรายงานงบไตรมาส 2 ปี 65 ของ Real Sector อาจทำ ให้ตลาดหุ้นผันผวนบ้าง แต่ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา

หาก Downside กำไรจำกัด หรือมีการปรับประมาณการ กำไรทั้งปีลงไม่มาก อาจเห็น SET Index รีบาวน์กลับ หลังการ ประกาศงบไตรมาส 2 เสร็จสิ้น ราวช่วงครึ่งหลังของเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสผันผวนในช่วงครึ่งแรกของเดือน ส.ค. แต่เมื่อ ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปได้ ก็จะเห็นตลาดหุ้นที่มีแรงกดดันลดระดับ ลง และเริ่มฟื้นตัวกลับได้อีกครั้ง ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา โซนเข้าสะสมในมุมพื้นฐาน เพื่อหวังผลในระยาวได้ง่ายขึ้น ซึ่งโซนเข้า สะสมที่เหมาะสมแรก คือ ระดับที่ดัชนีต่ำกว่า 1,570 จุด เป็นระดับที่ รับความเสี่ยงการปรับขึ้นดอกเบี้ยไทย 0.75% ในช่วงที่เหลือของปีไป แล้ว และระดับถัดมา คือ โซน 1,515 – 1,530 จุด เป็นโซนที่ SET Index เคลื่อนไหวตอนเผชิญเหตุการณ์การแพร่ระบาดโควิดสายพันธ์ เดลต้าหนักๆ (ช่วงครึ่งเดือนแรกของ ส.ค. 64) จน GDP งวดไตรมาส 3 ปี 64 พลิกกลับไปติดลบ -0.9% เทียบไตรมาสก่อน ขณะที่ปัจจุบันความกังวลการแพร่ ระบาดจากฝีดาษลิง และโควิดถือว่าผ่อนคลายกว่ามาก กลยุทธ์การลงทุนเดือน ส.ค. 65 แนะนำทยอยสะสมหุ้น 3 กลุ่มที่คาด ว่าจะ Outperform ตลาดได้คือ 1) หุ้นกลุ่มเปิดเมือง CENTEL, BEM, CRC 2) หุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น KTB 3) หุ้นย่อตัว แนวโน้มกำไรดีขึ้นแรงกดดันลดลงตามลำดับ GPSC TRUE KCE

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายพบว่าดัชนีปรับตัวลดลง 4.08 จุด หรือ 0.26% โดยปิดตลาดที่ 1,589.16 จุด มูลค่าการซื้อขาย 59,464.45 ล้านบาท ขณะล่าสุดวานนี้ 3 ส.ค.ดัชนี SET INDEX มีความผันผวนเคลื่อนไหวแกว่งตัวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,598.54 จุด ขณะเดียวกันก็ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,585.71 จุด และปิดตลาดที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่1,594.73จุด เพิ่มขึ้น 5.57จุด หรือ 0.35 % เคลื่อนไหวในกรอบ 1,597.74-1,586.49 จุด มูลค่าซื้อขาย 50,898.19 ล้านบาท แบ่งการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนดังนี้ สถาบันขายสุทธิ 853.53 ล้านบาท , บัญชี บล.ซื้อสุทธิ 387.42 ล้านบาท , นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 108.08 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 574.19 ล้านบาท

โดยหลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดตามลำดับคือ DELTA 3,785.81 ล้านบาท ปิดที่ 522.00 บาท เพิ่มขึ้น 32.00 บาท หรือ 6.53% , TRUE1,809.90 ล้านบาท ปิดที่ 4.88 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ 0.41% ,KBANK 1,475.54 ล้านบาท ปิดที่ 145.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง , PTTEP 1,459.37 ล้านบาท ปิดที่ 161.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.57% และ SCC 1,379.06 ล้านบาท ปิดที่ 363.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 0.27%




กำลังโหลดความคิดเห็น