นายธีร์ จารุศร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ.ชิค รีพับบลิค (CHIC) เปิดเผยว่า CHIC เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก 27 ก.ค.นี้
สำหรับการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) วันที่ 18-21 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา มีการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เป็นผลมาจากการโรดโชว์ให้ข้อมูลแนะนำบริษัทกับนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกระจายหุ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บล.เอเซีย พลัส บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บล.กรุงศรี และ บล.เคทีบีเอสที
"หุ้น CHIC ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นหุ้นพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตระยะยาวตามแผนการลงทุนขยายธุรกิจ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรองรับการเติบโตจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบ-แนวสูง อีกทั้งประสบการณ์ของผู้บริหารกว่า 30 ปี ได้รับการยอมรับจากลูกค้าและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศ ซึ่งภายหลังการระดมทุน CHIC จะสามารถสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง" นายธีร์ กล่าว
นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ CHIC กล่าวว่า การระดมทุนจะส่งผลให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจ สร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตได้ตามแผนและกรอบเวลาที่ทางบริษัทได้วางไว้
"บริษัทมั่นใจว่าการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 27 ก.ค.นี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีโอกาสเติบโตทั้งด้านฐานะการเงิน ความสามารถการทำกำไร และศักยภาพการเติบโตการเสนอขายหุ้นไอพีโอกับนักลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับ CHIC ที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต"
หลังจากการระดมทุนในตลาด mai บริษัทจะนำเม็ดเงินไปลงทุนขยายสาขาแห่งใหม่ในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีการเติบโตและการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นฐานการจำหน่ายและการกระจายสินค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว คาดการณ์เริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 66 และบริษัทฯ มีแผนที่จะปรับปรุงและจัดสรรพื้นที่ภายในสาขาบางนา และสาขาราชพฤกษ์ใหม่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ร้านค้าเช่าสร้างแหล่งที่มาของรายได้ประจำ โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ขายแล้วเสร็จและพร้อมเปิดใช้งานในช่วงไตรมาส 4/65
นอกจากนี้ บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโตของบริษัทย่อยในประเทศกัมพูชา เตรียมพัฒนาช่องทางจำหน่าย E-Commerce Website ช่วยเพิ่มยอดขายสร้างรายได้ รวมถึงชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ อีกทั้งบริษัทยังมีนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย รวมถึงเงินสำรองอื่นตามที่บริษัทกำหนด