นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ระบุกรณีที่ประเทศพม่าประกาศเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้บริษัทและธนาคารในพม่า หยุดพักการชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศ หลังจากช่วงเดือนเมษายนได้สั่งให้บริษัทต่างๆ แลกเงินตราต่างประเทศที่มีไปสู่เงินจ๊าตภายใน 24 ชม. และได้ประกาศห้ามนำเข้ารถยนต์ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวข้างต้นเพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินจ๊าตที่อ่อนค่าลงมามากจาก 1,325 จ๊าต/ดอลลาร์ มาเป็น 1,850 จ๊าต/ดอลลาร์ (อัตราที่ทางการประกาศ) หรือลดลงอย่างน้อยประมาณ 30% ขณะที่ในตลาดมืด (black market) มีข่าวว่าอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 2,200 จ๊าต/ดอลลาร์
นอกจากนี้ นโยบายที่ประกาศออกมายังจะช่วยลดการไหลออกของเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ไม่มาก ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดเท่าที่ประกาศออกมา เมื่อมีนาคม 2564 (1 ปีที่แล้ว) พม่ามีเงินสำรองอยู่เพียง 7.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. แต่จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดล่าสุดในช่วงที่ผ่านมา ที่ล่าสุด ADB ประมาณไว้ที่ -1.1% ของ GDP จากการไม่มีรายได้จากนักท่องเที่ยว การที่ไม่มี FDIs ไหลเข้า การต้องจ่ายชำระคืนดอกเบี้ยและหนี้ต่างประเทศที่มียอดคงค้างประมาณ 16% ของ GDP หรือประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศของพม่าจึงลดลงไปพอสมควร ดังนั้น เงินที่ไหลออกจึงกลายเป็นปัญหาที่ต้องจัดการ และนำมาซึ่งนโยบายต่างๆ ที่ประกาศออกมา
ทั้งหมดนี้ เศรษฐกิจพม่ายังต้องปรับตัวเพิ่มอีกมาก เพราะจากข้อมูล ADB พบว่า เมื่อปีที่แล้ว พม่า GDP ติดลบ -18.4% เงินเฟ้ออยู่ที่ 12.63% เมื่อธันวาคมที่แล้ว ซึ่งจากสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อปัจจุบันคงเพิ่มไปอีกพอสมควร
ทั้งนี้ มาตรการจำกัดเรื่องเงินตราต่างประเทศที่ทางการได้ประกาศออกมากำลังส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตของหลายบริษัทที่ไม่สามารถหาเงินตราต่างประเทศไปชำระค่านำเข้าวัตถุดิบ ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังยอดการผลิต การส่งออก และเศรษฐกิจต่อไป