สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางพม่ามีคำสั่งให้บริษัท และผู้กู้ยืมเงินรายย่อยระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง
รายงานระบุว่า นายวิน ทอ รองผู้ว่าการธนาคารกลางพม่า ระบุในจดหมายที่ธนาคารกลางส่งถึงธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการให้ซื้อขายเงินตราต่างประเทศ โดยมีคำสั่งให้ผู้กู้ยืมระงับการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นที่กู้จากต่างประเทศ ไม่ว่าจะในรูปของเงินสดหรือรูปแบบอื่นใดก็ตาม โดยคำสั่งดังกล่าวกำหนดให้ธนาคารต้องแจ้งลูกค้าธุรกิจที่มีหนี้ต้างประเทศต้องปรับแผนการชำระเงินที่กู้ยืมมาจากต่างประเทศ
รายงานของบลูมเบิร์กระบุว่า บริษัทในพม่ามีเงินกู้ยืมในสกุลดอลลาร์อย่างน้อย 1.2 พันล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้เป็นหนี้ของธุรกิจต่างๆ เช่น ออเรดู เมียนมา (Ooredoo Myanmar) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านโทรคมนาคม ซิตี้ สแควร์ คอมเมอร์เชียล (City Square Commercial) ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงอพอลโล ทาวเวอร์ส เมียนมา (Apollo Towers Myanmar) และอิราวดี กรีน ทาวเวอร์ส (Irrawaddy Green Towers) ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้ทำกิจการโครงข่ายเสาโทรคมนาคม
อย่างไรก็ตาม หลังการยึดอำนาจ รัฐบาลทหารพม่าได้คุมเข้มกฎระเบียบในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เนื่องจากค่าเงินจ๊าตอ่อนค่าลงไปถึง 1 ใน 3 เมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปีที่แล้ว อันเป็นผลจากการที่เงินตราต่างประเทศที่เป็นทุนสำรองของพม่าซึ่งเก็บไว้ที่สหรัฐฯ ได้ถูกระงับการเบิกถอน นอกจากนี้ ยังถูกระงับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งเป็น 2 แหล่งหลักที่นำเงินตราต่างประเทศให้พม่า
นอกจากนี้ รัฐบาลพม้ายังมีคำสั่งให้ผู้มีรายได้เป็นเงินต่างประเทศแปลงสกุลเงินของตนเป็นเงินจ๊าตที่อัตราอ้างอิงของธนาคารกลางที่ 1,850 จ๊าต/ดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาล เพื่อป้องกันความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่น
รัฐบาลยังห้ามนำเข้ารถยนต์ สินค้าฟุ่มเฟือย ทั้งยังจำกัดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันปรุงอาหาร เพื่อรักษาปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศ แม้จะยังอนุญาตให้ใช้เงินหยวนและเงินบาทเพื่อการค้าชายแดนกับจีนและไทยอยู่ก็ตาม