กูรูมองหุ้นกลุ่มโรงแรมฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และชัดเจนช่วงครึ่งปีหลัง เหตุโควิดในหลายประเทศคลายและผ่อนมาตรการเข้มงวด รวมถึงทั่วโลกเปิดน่านฟ้าทำให้การเดินทางคึก โบรกเกอร์มองไตรมาส 2 ท่องเที่ยวในประเทศดีขึ้นและโดดเด่นมากในไตรมาส 3 และ 4 เชื่อยุโรปยังเป็นกลุ่มหลักเพราะไม่มีการล็อกดาวน์ ขณะนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาช่วงครึ่งปีหลัง ประสานเสียงหุ้นเด่นในกลุ่ม อย่าง ERW, CENTEL, MINT และ SHR
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาทต่อห้องพัก เป็นเวลา 2 ปีตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565-30 มิถุนายน 2567 เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการที่รัฐบาลมีมาตรการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงมีต้นทุนการดำเนินงานที่เร่งตัวขึ้นจากราคาพลังงานที่ทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่ออัตราค่าไฟฟ้า วัตถุดิบอาหาร ค่าขนส่ง และอยากให้พิจารณามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และการจับจ่ายใช้สอยภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วง “ไฮซีซัน” ให้ได้มากที่สุด
ขณะที่ตัวเลขจากสมาคมโรงแรมไทย (THA) แจ้งถึงสมาคมโรงแรมไทยได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรม (hotel business operator sentiment index) เดือนมิถุนายน 2565 โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 137 แห่ง ในช่วงระหว่าง 13-26 มิถุนายน 2565 พบว่าโรงแรม 88% เปิดกิจการปกติ คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และเปิดประเทศในช่วงปลายปีก่อน พร้อมกับคาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยจะปรับเพิ่มสูงขึ้นได้ถึง 40% ในเดือนกรกฎาคม 2565 นี้ เนื่องจากมาตรการยกเลิก Thailand Pass สำหรับชาวต่างชาติ และการขยายสิทธิโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 4 และโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” ที่เริ่มในเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2565 นี้
หุ้นโรงแรมหลายแห่งที่โบรกเกอร์มองว่าการเปิดเมืองและผ่อนมาตรการที่เข้มงวดจากก่อนหน้าจะทำให้ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวคึก เพราะในประเทศมีกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านมากขึ้น แม้จะยังไม่กลับสู่ปกติ แต่ถือว่าดีขึ้นมากจากปีก่อนๆ แถมยังทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และนั่นจะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวจากที่เคยตกต่ำและส่วนใหญ่ขาดทุนแทบทั้งสิ้น ซึ่งโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งจะได้รับผลดีมีหลายแห่ง อย่าง ERW หรือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) CENTEL หรือบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) MINT หรือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) SHR หรือบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) และจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และ จากตารางที่แสดงจะพบว่าผลประกอบการไตรมาสแรกปี 65 ดีขึ้นว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน และผลงานไตรมาส 2 ที่กำลังจะประกาศออกมาคาดฟื้นตัว หรือตัวเลขที่ติดลบจะค่อยๆ กลับเป็นบวก และราคาหุ้นโรงแรมใหญ่คึกคักไปในแต่ละวัน ขณะราคาเทรดปัจจุบันพยายามขยับเข้าหาราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ประเมินไว้
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) หรือ บล.เคจีไอฯ คาดผลประกอบการรวมของกลุ่มโรงแรมจะพลิกเป็นกำไรที่ 518 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 65 จากขาดทุนปกติ 4.2 พันล้านบาทในไตรมาสแรก และขาดทุนปกติ 5.2 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 64 ผลักดันจากสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นในทุกทำเลที่ตั้ง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยฟื้นตัวขึ้น และโรงแรมในยุโรปเข้าสู่ช่วง high season ในรอบนี้
บล.เคจีไอฯ คาดผลประกอบการของ Central Plaza Hotel (CENTEL.BK/CENTEL TB) และ Minor International (MINT.BK/MINT TB) จะพลิกกลับมามีกำไรสนับสนุนจากธุรกิจร้านอาหารและผลการดำเนินงานของโรงแรมที่ยุโรปของ MINT ที่แข็งแกร่ง บล.เคจีไอฯ คาด S Hotels & Resort (SHR.BK/SHR TB) ในไตรมาส 2 ปี 65 จะรายงานผลขาดทุนสุทธิเล็กน้อย โดยที่ RevPar ดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบไตรมาสก่อน ในทุกทำเลที่ตั้ง ยกเว้นมัลดีฟส์ (อังกฤษ ไทย ฟิจิ และมอริเชียส) ขณะที่ TheErawan Group (ERW.BK/ERW TB) และ Siam Wellness Group (SPA.BK/SPA TB) คาดยังขาดทุนสุทธิอยู่เช่นกัน แต่ผลขาดทุนฟื้นตัวขึ้นอย่างมาก ทั้งเทียบปีก่อนและไตรมาสก่อน
เนื่องจากสภาวะของการท่องเที่ยวในประเทศดีขึ้นอย่างมากในเดือนพฤษภาคม 2565 หลังจากที่ไทยยกเลิกข้อกำหนดให้ตรวจแบบ RT-PCR ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแสดงสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนและทำสถิติสูงสุดตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาดที่ 521,410 คน (เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบปีก่อน และเพิ่มขึ้น 78% จากเดือนก่อน)
ทั้งนี้ บล.เคจีไอฯ คาดสภาวะของการท่องเที่ยวทั่วโลกจะดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 65 ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบการรวมของกลุ่มโรงแรมในไตรมาส 3 ดีขึ้นทั้งเทียบปีก่อนและไตรมาสก่อน ถึงแม้ว่า sentiment สภาวะเศรษฐกิจโลกจะมีแนวโน้มแย่ลงบ้าง แต่เชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้น่าจะเป็นไปตามประมาณการของ บล.เคจีไอฯ ที่ 8 ล้านคน เนื่องจากประการแรก จำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นจากฐานที่ต่ำ และมีอุปสงค์ pent-up demand ที่แข็งแกร่งรออยู่ สุดท้ายคือ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบีย จะช่วยลดความเสี่ยงขาลง
บล.เคจีไอฯ คงน้ำหนักกลุ่มโรงแรม Overweight โดยเลือก SHR (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท) MINT (แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 44.00 บาท) และ ERW (แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 4.70 บาท) เป็นหุ้นเด่นของ บล.เคจีไอฯ ในกลุ่มนี้
บล.ทิสโก้ ยังคงให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน กลุ่มนี้ เนื่องจากเชื่อว่าน่าจะเห็นผลประกอบการดีขึ้นโดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ยังคงแนะนำ “ซื้อ” MINT หรือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และอัปเกรด CENTEL หรือบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) รวมทั้ง ERW หรือบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ซึ่งราคาหุ้นโรงแรมของ บล.ทิสโก้ ได้เพิ่มขึ้น 10-12% ส่วน AWC หรือบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ยังคงทรงตัว บล.ทิสโก้ เชื่อในระยะกลางโรงแรมจะดูดีจากธีมการฟื้นตัวพร้อมกำไรกลายเป็นบวก MINT และ ERW เป็น Top pick
เนื่องจากโรงแรมไทยมีการปรับปรุงเทียบไตรมาสก่อน เพราะยังฟื้นตัวไม่เต็มที่จากโควิดและอัตราการเข้าพักในไตรมาสแรกปี 65 รายงานโดย MoTS อยู่ที่ 35.6% เพิ่มขึ้นจาก 26.3% ในไตรมาส 4 ปี 64 จากฐานที่ต่ำในเดือน ต.ค.-พ.ย. พร้อมการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราการเข้าพักเดือน ธ.ค. เทียบกับช่วง ม.ค.-มี.ค 65 ทรงตัวเนื่องจากแนวโน้มการฟื้นตัวของไตรมาสถูกขัดขวางโดยผลกระทบของ Omicron ซึ่ง บล.ทิสโก้ มองคล้ายกันสำหรับโรงแรมในการวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้
อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้ คาดว่าภาคธุรกิจโรงแรมในไทยจะรายงานผลขาดทุนหลักรวม 2.25 พันล้านบาท ขาดทุนมากขึ้นจากไตรมาสก่อน จากกำไรไตรมาส 4 ปี 64 ที่ 1.16 พันล้านบาท การอ่อนตัวโดยรวมเกิดจาก MINT พลิกกลับมาขาดทุน เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาลใน EU/LATAM ควบคู่ไปกับการแพร่ระบาดของ Omicron ส่งผลให้ประสิทธิภาพการดำเนินงานอ่อนแอ สำหรับออสเตรเลียยังคงเห็นมัลดีฟส์แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาหารของ MINT คาดได้รับผลกระทบจากยอดขายที่ลดลงในจีน หากไม่รวม MINT โรงแรมของ บล.ทิสโก้ ดีขึ้นเทียบไตรมาสก่อน สอดคล้องกับอัตราการเข้าพักโรงแรมในไทยที่ดีขึ้น
ดังนั้น บล.ทิสโก้ คงการคาดการณ์ทั้งปีตามเดิม บล.ทิสโก้ เชื่อว่าโรงแรมใน EU/LATAM ควรกลับสู่ปกติเร็วที่สุดหลังจาก Omicron จบลง โรงแรมในไทยควรค่อยๆ ฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวขาเข้าจากสหรัฐฯ/สหภาพยุโรป ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากเอเชียน่าจะเพิ่มขึ้นในครึ่งหลังปี 65 ส่วนนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาในช่วงต้นปี 66 ผลกระทบของ Omicron (กระทบร้านอาหารในจีน และในสหภาพยุโรป) บล.ทิสโก้ คาดว่าจะเห็นความเสี่ยงด้านลบเล็กน้อยต่อการประมาณการของ MINT ในปี 65 นอกจากนี้ บล.ทิสโก้ ได้ปรับประมาณการ CENTELไตรมาสแรกปี 65 เพิ่มขึ้นและคาดว่ามี upside ต่อประมาณการ 65 ส่วน AWC และ ERW ไม่เปลี่ยนแปลง
โดย บล.ทิสโก้ ประเมินหุ้นโรงแรมของ บล.ทิสโก้ โดยใช้ SOTP, DCF และ EV/EBITDA ความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับภาคส่วน ประการแรกคือการระบาดจบเร็วกว่าคาด และจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด อีกทั้งอัตราค่าห้องพักฟื้นตัวเร็วเกินคาด สุดท้าย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศเร็วขึ้น ช่วย QSRs ความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญสำหรับภาคส่วน คือโควิดสายพันธุ์ใหม่ ข้อจำกัดการเข้าประเทศที่ยืดเยื้อ การบริโภคภายในประเทศที่อ่อนแอ กระทบ QSRs และผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย บล.ทิสโก้ แนะนำให้ “ซื้อ” MINT และ ERW โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 41.00 บาท และ 3.90 บาทตามลำดับ
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ บล.เมย์แบงก์ฯ มองผลประกอบการกลุ่มโรงแรมเริ่มฟื้นตัว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยเพิ่มขึ้นแตะ 9 ล้านคนในปี 2565 เทียบกับเพียง 4 แสนคนในปี 2564 ราคาหุ้นของ DUSIT หรือบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ไปในทิศทางเดียวกับ SET ขณะที่ ERW หรือบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และ MINT หรือบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) วิ่งแรงแซงดัชนี SET อย่างเห็นได้ชัด (25% และ 20% ตามลำดับ) เนื่องจากธุรกิจโรงแรมมีส่วนแบ่งรายได้โรงแรมมากกว่า DUSIT และ VRANDA หรือบริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทั้ง 2 รายหลังมีรายได้ประมาณ 50% จากการบริหารทรัพย์สิน
ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ฯ พบอีกว่าโรงแรมในต่างประเทศจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าในประเทศไทย เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนเร็วกว่า และคาดว่าการฟื้นตัวของประเทศไทยจะเร่งตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง คงแนะนำ “ซื้อ” MINT ที่ราคาเป้าหมาย 37 บาท เนื่องจากการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโรงแรมในยุโรป (50% ของรายได้ปกติ) ซึ่ง RevPar อาจใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด (2562) ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 65 เป็นต้นไป แนะนำ “ถือ” ERW ที่ราคาเป้าหมาย 3.30 บาท และเชื่อว่าด้วยสัดส่วน 90% หรือรายได้จากโรงแรมในประเทศไทยน่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในครึ่งหลังของปีนี้ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทย
ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ฯ ชื่อว่าการฟื้นตัวของผู้ประกอบการโรงแรมเทียบไตรมาสก่อนอาจค่อยเป็นค่อยไป โดยโรงแรมระดับนานาชาติในตะวันออกกลาง (เช่น ดูไบ) มัลดีฟส์ และยุโรปสามารถฟื้นตัวได้อีกมากเนื่องจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากฐานต่างจากการระบาดของ Omicron ในไตรมาสแรกปี 65 ขณะที่ในประเทศไทย เดือนเมษายนน่าจะได้รับแรงหนุนจากช่วงหยุดสงกรานต์ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของปี (เช่นเดียวกับปีใหม่) ส่วนยุโรปจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนที่สุด เนื่องจาก RevPar ของ MINT นั้นต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 เพียง 3% ในเดือน เม.ย.65 จากที่ยุโรปจะจัดให้เป็นโรคเฉพาะถิ่น ขณะที่ในไทยการฟื้นตัวอาจค่อยเป็นค่อยไปและไม่เหมือนกับยุโรปที่ราคาห้องพักฟื้นตัวเร็วกว่าอัตราการเข้าพัก โดยราคาห้องพักในไทยฟื้นตัวได้ช้าและจะยังคงต่ำกว่าก่อนเกิดโควิดอย่างมากแม้ในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ERW ,DUSIT และ VRANDA ฟื้นตัวได้ดีในตลาดกรุงเทพฯ ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก ผู้ประกอบการโรงแรมทุกรายคาดว่าการผ่อนปรนกฎเกณฑ์การเข้าประเทศของประเทศไทย (เช่น การยกเลิก Test & Go) จะส่งผลดีต่อการเดินทางเข้ามาไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 2 ปีนี้
ขณะธุรกิจร้านอาหารเจอแรงกดดันด้านต้นทุนอาหารเพิ่มขึ้น เพราะผู้ประกอบการโรงแรมทุกรายคาดว่าต้นทุนอาหารที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบเล็กน้อยต่อธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในโรงแรมของตน เนื่องจากราคาเมนูในโรงแรมมีราคาสูง และสามารถผลักภาระต้นทุนให้ลูกค้าระดับไฮเอนด์ได้ ประเด็นนี้อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อ EBITDA Margin ของร้านอาหารของ MINT เนื่องจากมีการแข่งขันสูงและไม่สามารถขึ้นราคาเมนูทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย รายได้ปกติของ MINT ประมาณ 20% อยู่ในธุรกิจร้านอาหารอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนผ่อนคลาย เนื่องจากการดำเนินงานดีขี้น
บล.เคทีบีเอสที มีมุมมอง Overweight กลุ่มท่องเที่ยว จากที่ ศบค. ยกเลิก Thailand Pass นักท่องเที่ยวต่างชาติ มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค. ซึ่งเป็นการปลดล็อกมาตรการการผ่อนคลายท่องเที่ยวได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะก่อนหน้าที่มีขั้นตอนและระยะเวลารอคอยในการอนุมัติจากทางการไทยในการเข้าประเทศไทยค่อนข้างนานราว 5-7 วัน โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้เพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งจะเป็น upside เพิ่มต่อประมาณการนักท่องเที่ยวในปี 2565 คาดว่าจะอยู่ที่ 6.0 ล้านคน จากปีก่อนที่ 4.3 แสนคน (ไตรมาส 4 ปีนี้อยู่ที่ 8 แสนคน) และหากมีการประกาศโควิดเป็นโรคประจำถิ่น ยิ่งเป็นตัวช่วยปลดล็อกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งคล้ายกับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
โดยหุ้นในกลุ่มโรงแรมที่จะได้รับผลบวกจากการยกเลิกมาตรการดังกล่าว จากมากไปน้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทย ได้แก่ ERW, CENTEL, MINT, SHR สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว บล.เคทีบีเอสที ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “มากกว่าตลาด” โดยจากประเด็นนี้ ERW (ซื้อ/เป้า 3.90 บาท) และ CENTEL (ซื้อ/เป้า 50.00 บาท) จะได้ sentiment เชิงบวกมากสุด ขณะที่ยังชอบ MINT ซื้อ/เป้า 44.00 บาท) เพราะคาดไตรมาส 2-ไตรมาส 4 ปี 65 จะพลิกกลับมาเป็นกำไรทุกไตรมาสและจะโตเด่นเหนือกลุ่ม นอกจากนี้ ชอบ AOT (ซื้อ/เป้า 76.00 บาท) ได้ประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ บล.เคทีบีเอสที ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ MINT เช่นกัน เพราะแนวโน้มธุรกิจโรงแรมยังฟื้นตัวได้ดีตามคาด โดยจะเห็นการฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 65 ซึ่งยุโรปยังคงเป็น Key Driver หลักในการฟื้นตัวต่อ รวมถึงมีการคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเดินทางได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ผลกระทบจากรัสเซียจำกัดเพราะมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวรัสเซียเพียง 2% ของรายได้รวม อย่างไรก็ดี จะได้นักท่องเที่ยวยุโรปเข้ามาชดเชยได้เพราะไม่มีการล็อกดาวน์ ทำให้สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตามปกติ พร้อมประเมินธุรกิจโรงแรมของ MINT จะฟื้นตัวได้เร็วที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยวจากยุโรปที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าไทย