ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ หมวดที่อยู่อาศัยไตรมาสแรกปี 65 ค่าดัชนีเท่ากับ 86.8 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังตัวเลขยอดขายตลาดรวมปรับขึ้นสูงขึ้น เชื่อดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.50 บาท คาดส่งผลดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ มีอัตราขยายตัวประมาณ 3.5%
รายงานข่าวจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หมวดที่อยู่อาศัยของในภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 86.8 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 10.4% และเพิ่มขึ้น 15.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางเดียวกันกับเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2.2%
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ ในหมวดที่อยู่อาศัย ในไตรมาสแรกสะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวของทั้งด้านดีมานด์ และซัปพลายของตลาดที่อยู่อาศัย โดยด้านดีมานด์หรือความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นโดยสะท้อนผ่านอัตราดูดซับของโครงการสำรวจที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีอัตราดูดซับสูงขึ้นเป็น 7.6% ต่อเดือน เพิ่มจากครึ่งหลังปี 2564 ที่ 3.3% ต่อเดือน ขณะที่อัตราดูดซับบ้านจัดสรรอยู่ที่ 3.1% ต่อเดือน เพิ่มจากครึ่งหลังปี 2564 ที่ 2.4% ต่อเดือน
ส่วนในด้าน ซับพลายในไตรมาส 1 ปี 2565 เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยได้สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ และ/หรือเฟสใหม่ ที่มีค่าดัชนีในไตรมาส 1 ปี 2565 เท่ากับ 45.1 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 ที่มีค่าดัชนีเท่ากับ 40.2 จากข้อมูลผลสำรวจภาคสนามของศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ได้ในไตรมาส 1 ปี 2565 พบว่า ผู้ประกอบการมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้น 207.9% โดยโครงการอาคารชุดเพิ่มขึ้น 378.3% และแนวราบเพิ่มขึ้น 89.6%
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ หมวดที่อยู่อาศัย ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2565 คาดว่า ตลาดยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีอยู่ คือ การลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท และครอบคลุมไปถึงบ้านมือสอง และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว รวมถึงการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากการเปิดประเทศ โดยคาดว่ามีโอกาสที่จะขยายตัวได้ถึง 9.1% หากรัฐบาลมีการออกมาตรการเสริมที่สามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการซื้อและปลุกความเชื่อมั่นผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ก็จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยทำให้ดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ หมวดที่อยู่อาศัยขยายตัวได้ถึง 14.7%
อย่างไรก็ตาม หากตลาดที่อยู่อาศัยต้องเจอกับสถานการณ์ภาวะเงินเฟ้อสูงต่อเนื่องจากเดือนพฤษภาคม 2565 และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นไม่เกิน 0.50 บาท อาจทำให้ดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ มีอัตราขยายตัวประมาณ 3.5% (Worst Case) แต่ถ้าภาวะเงินเฟ้อสูง และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จะส่งผลให้อัตราขยายตัวลดลงมากกว่า Worst Case ได้