นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 35.35 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.32 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.25-35.45 บาท/ดอลลาร์ โดยผู้เล่นในตลาดการเงินโดยรวมทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังเริ่มคลายกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงของเฟด
อย่างไรก็ดี ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.72% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.30% หลังนักลงทุนบางส่วนเริ่มขายทำกำไรการรีบาวนด์อย่างรวดเร็วในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคฯ เช่น Amazon -2.8% Alphabet (Google) -1.8% เพื่อรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น GDP ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตาม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดอย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์โอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง หลังจากที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดเริ่มสะท้อนภาพเศรษฐกิจชะลอลง
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าแม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนในฝั่งแข็งค่าจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ทว่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มผันผวน โดยต้องระวังแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อหากตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง อย่างไรก็ดี เรามองว่าแรงขายหุ้นไทยอาจเริ่มชะลอลง หลังดัชนี SET ได้ย่อตัวมาใกล้โซนแนวรับสำคัญ อีกทั้งภาพตลาดหุ้นฝั่งเอเชียยังดูสดใส หนุนโดยความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown (Correlation เงินบาท กับเงินหยวนของจีนในช่วงนี้อยู่ที่ราว 70%) ทำให้เรามองว่า เงินบาทยังมีโอกาสแกว่งตัว sideways โดยมีโซนแนวต้านแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนโซนแนวรับยังคงอยู่ในช่วง 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์
อนึ่ง ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เช่น ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงปรับตัวขึ้น +0.52% นำโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่ม Healthcare เช่น Roche +2.1% Novartis +1.8% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนัก ทำให้ผู้เล่นในตลาดหันมาสนใจหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี pricing power สูงและผลประกอบการทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ อย่างกลุ่ม Healthcare มากขึ้น อย่างไรก็ดี ในระยะสั้นผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อรอประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยิลด์โดยรวมปรับตัวผันผวน โดยบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนใกล้ระดับ 3.20% อีกครั้ง หลังจากที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่างยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ได้ปรับตัวขึ้น +0.7%m/m ดีกว่าคาด ในเดือนพฤษภาคม สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดูสดใส สอดคล้องกับมุมมองของประธานเฟดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผู้เล่นบางส่วนยังคงมองว่าเฟดยังสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot อย่างไรก็ดี เรามองว่าผู้เล่นบางส่วนจะทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะที่บอนด์ยิลด์มีการปรับตัวสูงขึ้นมาก หรือรอจังหวะ Buy on Dip เพราะหากมีมุมมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยในกรณีเลวร้ายสุด บอนด์ยิลด์ระยะยาวจะสามารถทยอยปรับตัวลดลงได้ในที่สุด
ในฝั่งตลาดค่าเงิน บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมที่ทยอยเปิดรับความเสี่ยงได้กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 103.9 จุด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของสกุลเงินฝั่งยุโรป นำโดยเงินยูโร (EUR) ที่ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.058 ดอลลาร์ต่อยูโรอีกครั้ง ตามความคาดหวังของตลาดต่อแนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของ ECB อย่างไรก็ดี แม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีการย่อตัวลง แต่ทว่าภาพรวมของตลาดที่เปิดรับความเสี่ยงและการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงส่งผลให้ราคาทองคำรีบาวนด์ย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ยังคงมองราคาทองคำแกว่งตัว sideways และยังขาดปัจจัยหนุนให้กลับมาเป็นขาขึ้นที่ชัดเจน
สำหรับวันนี้ตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conference Board (Consumer Confidence) โดยตลาดประเมินว่า ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จะกดดันให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงแตะระดับ 100 จุด ในเดือนมิถุนายน
ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงทิศทางนโยบายการเงินของ ECB & BOE ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจยุโรปอาจเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะ Stagflation ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงินยากมากขึ้น