"กอบศักดิ์" ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนคนใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ก ค้านเก็บภาษีขายหุ้น ชี้เวลานี้ยังไม่เหมาะสม ยึดข้อเสนอ FETCO 5 ข้อ ที่เคยเสนอคลัง
วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก "Dr.KOB" (https://www.facebook.com/drkobsak) ระบุว่า
ตามที่มีข่าวช่วงนี้ เรื่องการเก็บภาษีขายหุ้นนั้น ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เคยได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในช่วงที่ตลาดผันผวนปั่นป่วนอย่างยิ่ง หลายคนกำลังเสียหายจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร ทองคำ และสินทรัพย์ใหม่ เช่น เงินคริปโต ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา อีกทั้งยังมีวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นรออยู่ข้างหน้า ซึ่งเริ่มเห็นถึงเค้าลางในบางประเทศ ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนี้
สำหรับข้อเสนอของ FETCO มีด้วยกัน 5 ข้อ คือ 1.ไม่เห็นด้วย ที่จะมีการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหุ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพคล่องของตลาด เป็นภาระและส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย รวมถึงด้อยค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นถือครองอยู่ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยกว่า 2 ล้านคน ที่ลงทุนทางตรงในตลาดหุ้นไทย
และอีก 17 ล้านคนที่ลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมและกองทุนสวัสดิการต่างๆ รวมถึงกระทบไปถึงนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศด้วย ทั้งนี้จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนต้องออมเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ปี เพื่อให้มีเงินเพียงพอในยามเกษียณ ซึ่งเห็นผลของการกระทบในวงกว้างที่ชัดเจน
2.ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับ Market Markers ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลาดทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะ Derivative Wartant และ Single Stock Futures ซึ่งอ้างอิงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จะส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยในเวทีโลก ทำให้พัฒนาการต่อตลาดหุ้นไทยอาจถอยหลังไปได้
3.ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หากจัดเก็บภาษี จะนิยมให้การยกเว้นแก่กลุ่ม Market Markers เช่น ฮ่องกง อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และกลุ่มกองทุนรวม กองทุนบำนาญ กองทุนสวัสดิการ เช่น อิตาลี สวิตเซอร์แลด์ เบลเยี่ยม ไอซ์แลนด์ เพื่อลดผลกระทบต่อการออมการลงทุนของประชาชนในวงกว้าง และต่อการพัฒนาเชิงนวัตกรรมของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ ทั้งนี้ ในกรณีของประเทศไทย นักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มทำธุรกรรมขายรวมกัน 12-17% ของมูลค่าขายทั้งหมดในตลาด (สถาบันในประเทศ 7% และ Market Markers 5-10%) ดังนั้นการให้ยกเว้นภาษีต่อไปถือว่าคุ้มค่าหากเปรียบเทียบเม็ดเงินภาษีดังกล่าวกับผลประโยชน์ในวงกว้างต่อประชาชนและการพัฒนาศักยภาพของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว
4.อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2534 เมื่ออัตราค่าคอมมิชชั่นอยู่ที่ระดับ 0.5% อย่างไรก็ดีจากสภาวะการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศที่มีมากขึ้น อัตราค่าคอมมิชชั่นจึงลดลงเหลือเพียง 0.08% ในปัจจุบัน ดังนั้นมูลค่าภาษีที่จัดเก็บตามอัตราภาษีที่ 0.1% และเมื่อรวมภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% เป็น 0.11% จะสูงถึง 0.7 เท่าของมูลค่าค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่จัดเก็บในปัจจุบัน จึงจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนสูงจากสถานการณ์โควิดและสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลก อัตราเลกเปลี่ยน และเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเหศ มีความผับผวนมาก การจัดเก็บกาษีดังกล่าวจะเป็นการตอกย้ำความผันผวนดังกล่าว
5.ต้นทุนการระดมทุน (cost of capital) ที่สูงขึ้นเมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลง จะทำให้บริษัทจดทะเบียนชะลอหรือลดการลงทุนและขยายธุรกิจ ทำให้มีกำไรลดลง ท้ายที่สุด productivity และ GDP ของประเทศ รวมตลอดถึงภาษีนิติบุคคลที่บริษัทจ่ายได้ให้ภาครัฐจะลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ผลเสียจะกระทบแรงกับกลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีทางเลือกของแหล่งเงินทุนที่จำกัดมากอยู่แล้วในปัจจุบัน