คลังเตรียมเปิดให้ลงทะเบียนคนจนรอบใหม่ ส.ค.นี้ คาดคนจนพุ่งถึง 20 ล้านคน ใช้งบกว่า 560 ล้านบาท พร้อมเปิดให้แบงก์รัฐเสนอราคาทำระบบลงทะเบียนใหม่และการใช้บัตรประชาชนแทนบัตรคนจนใบเดิม
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเปิดให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยเข้าลงทะเบียนรับบัตรสวัสดิการรัฐเพิ่มเติม (บัตรคนจน) รอบใหม่ในเดือน ส.ค.นี้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างให้แบงก์รัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเสนอเงื่อนไขการจัดทำระบบเพื่อลงทะเบียนดังกล่าว
“เรากำลังเปิดให้แบงก์รัฐเสนอเงื่อนไขการเสนอตัวเป็นผู้จัดทำระบบการลงทะเบียนบัตรคนจนและการใช้บัตรคนจน เพราะรอบนี้เราจะกำหนดให้ใช้บัตรประชาชนแทนบัตรคนจนใบเดิม แต่บัตรคนจนใบเดิมนั้นสามารถกดเงินสดได้ ฉะนั้น จะต้องมาดูว่าเมื่อใช้บัตรประชาชนแล้วจะสามารถกดเงินสดได้ในช่องทางใดได้บ้าง เบื้องต้น น่าจะใช้ลักษณะการผูกพร้อมเพย์กับแบงก์ เป็นต้น”
เขากล่าวด้วยว่า การเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่นี้คาดว่าจำนวนคนจนจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 13 ล้านคน เนื่องจาก สถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้มีรายได้น้อย
“เรายังบอกไม่ได้ว่าจะมีคนจนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ต้องรอผลการลงทะเบียนก่อน แต่เบื้องต้น เราคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนงบที่ใช้ในการลงทะเบียนน่าจะอยู่หลักสิบถึงร้อยล้านบาท”
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า สาเหตุที่กระทรวงการคลังต้องเปิดให้มีการลงทะเบียนรอบใหม่ เนื่องจากข้อมูลผู้ถือบัตรคนจนในปัจจุบันเป็นข้อมูลในปี 2559-61 โดยที่ผ่านมายังมีกลุ่มตกหล่นที่ไม่สามารถเข้าถึงโครงการฯ ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ในวงกว้าง ทำให้ข้อมูลผู้ถือบัตรคนจนไม่สะท้อนข้อมูลผู้มีรายได้น้อยในปัจจุบัน
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการลงทะเบียนใหม่ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการระบุตัวผู้มีรายได้น้อย และมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรสวัสดิการสังคมของรัฐให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีประชาชนผู้สนใจลงทะเบียนร่วมโครงการประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งจะรวมถึงผู้ถือบัตรคนจนในปัจจุบันประมาณ 13 ล้านคนและผู้เข้าข่ายได้รับสิทธิรายใหม่
แหล่งข่าวกล่าวว่า กระทรวงการคลังได้ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทะเบียนรอบนี้จำนวนกว่า 560 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจ้างเหมาบริการระบบลงทะเบียนและการยืนยันตัวตนกรณีการใช้บัตรประชาชนแทนบัตรสวัสดิการ จำนวน 164 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับการรับลงทะเบียนของหน่วยรับลงทะเบียน ได้แก่ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย กรมบัญชีกลาง (คลังจังหวัด) กระทรวงมหาดไทย (ที่ว่าการอำเภอ) สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร และสำนักงานเมืองพัทยา รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 400 ล้านบาท
สำหรับคุณสมบัติผู้ลงทะเบียนนั้น ได้มีการปรับปรุงจากเงื่อนไขเดิมที่พิจารณารายได้เป็นรายบุคคลเป็นรายครอบครัว โดยกำหนดรายได้ต่อหัวไม่เกิน 1 แสนบาท และยังกำหนดเงื่อนไขใหม่ที่ผู้ลงทะเบียนต้องไม่มีการถือครองบัตรเครดิต ไม่มีหนี้สินบ้านราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และไม่มีหนี้สินยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาทด้วย ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ และเงินฝากจะใช้เงื่อนไขที่ใกล้เคียงกับเงื่อนไขเดิม แต่จะพิจารณารวมทรัพย์สินของบุคคลในครอบครัวด้วย