เรื่องราวสุดดรามาของวงการคริปโตฯ ในตอนนี้คือเหรียญที่มีมูลค่าคงที่ หรือ Stablecoins ที่เคยมาแรงอย่าง UST ซึ่งสร้างขึ้นโดย Terra Chain ผู้พัฒนาบล็อกเชนสัญชาติเกาหลี ไม่สามารถที่จะตรึงมูลค่า หรือ Peg กับสกุลเงินดอลลาร์ได้ที่ 1:1 โดยติดลบมากที่สุดถึง 80% ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเหรียญ LUNA ลดลงไปด้วย ราคาเหรียญลดลงกว่า 99%
ล่าสุด Do Kwon ผู้ก่อตั้ง Terra Chain ประกาศที่จะย้ายเชน Terra ใหม่ภายในสิ้นเดือนนี้โดยจะทำการแจกเหรียญ LUNA ใหม่ให้ผู้ที่ถือเหรียญ LUNA เดิม และยังคงสร้าง Stablecoins ใหม่ขึ้นแต่จะไม่ใช่รูปแบบการตรึงราคาโดยใช้ Algorithm ทั้งหมดแบบ UST แต่จะผสมผสานด้วยการใช้ Cryptocurrency หนุนหลังบางส่วนด้วย
ก่อนหน้านี้ เหรียญ UST ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการดึงดูดนักลงทุนโดยสามารถนำมาฝากไว้ใน DeFi Protocol อย่าง Anchor และได้ดอกเบี้ยรายปีถึง 19% และยังผลักดันให้เหรียญ LUNA เติบโตอย่างโดดเด่น ทำให้ผู้พัฒนาบล็อกเชนรายอื่นหันมาพัฒนา Stablecoins ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Near Protocol และ Tron โดยเป็นการเดินตามความสำเร็จของ UST และ LUNA
เหรียญคริปโตฯ ที่มีมูลค่าคงที่ หรือ Stablecoins ถือเป็นด่านแรกของการดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ให้เข้ามาใช้งานเนื่องจาก Stablecoins ถูกใช้เป็นคู่เทรดกับเหรียญอื่นๆ ที่มีมูลค่าผันแปรตามตลาดอย่าง Bitcoin หรือ Altcoins อื่นๆ แบบเดียวกับที่เวลาเราเทรดหุ้นก็จะต้องคู่กับสกุลเงินต่างๆ โดยมักจะใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากเป็นที่คุ้นเคยของนักลงทุนทั้งโลก
Stablecoins ในยุคแรกๆ อย่างเช่น USDT มีกลไกในการสร้างที่จะใช้สินทรัพย์ค้ำประกันอย่างเช่นสกุลเงินดอลลาร์ พันธบัตรรัฐบาล แต่จากปัญหาเรื่องของความโปร่งใสในการเปิดเผยสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันการสร้าง USDT ที่ทางบริษัท Tether ออกมาเปิดเผยว่าไม่ได้ถูกค้ำประกันด้วยเงินสด 100% ทำให้เกิดปัญหาความเชื่อมั่นใน Stablecoins ประเภทนี้
ทำให้เกิด Stablecoins รูปแบบใหม่ที่สร้างจากโมเดลของ DeFi ซึ่งใช้เหรียญคริปโตฯ มาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันอย่างเช่นเหรียญ Dai ที่ใช้ Ethereum มาค้ำประกัน และโมเดลใหม่อย่าง UST ที่ใช้ Algorithm มาค้ำประกันราคาโดยที่ไม่มีสินทรัพย์ใดๆ มาค้ำประกัน
นอกจากนี้ ยังมีนักพัฒนา Stablecoins หน้าใหม่ไม่ว่าจะเป็น Coinbase เว็บเทรดคริปโตฯ อันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ที่สร้างเหรียญ USDC ซึ่งมีเงินดอลลาร์สหรัฐหนุน 100% รวมถึง BUSD ของค่าย Binance ที่รับรองว่ามีเงินดอลลาร์สหรัฐหนุน 100% เช่นกัน
การแข่งขันในการสร้าง Stablecoins ของตัวเองขึ้นมีจุดประสงค์หลักเพื่อดึงกลุ่มนักลงทุนโดยเฉพาะหน้าใหม่ให้มาใช้งานโปรดักต์ต่างๆ ภายในแพลตฟอร์มของตัวเองโดยสร้างแรงจูงใจอย่างเช่น ฟรีค่าธรรมเนียม โปรดักต์พิเศษที่ต้องใช้ Stablecoins ของแพลตฟอร์มเองเท่านั้น
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไปคือบทเรียนความล้มเหลวของ UST จะส่งแรงกระเพื่อมอย่างไรต่อการสร้าง Stablecoins ใหม่ๆ หลังจากนี้ และโมเดลไหนที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุนได้ ท่ามกลางสายตาที่จดจ้องเข้ามาของหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เล็งออกกฎหมายมาคุ้มครองและควบคุมดูแล Stablecoins รวมถึงล่าสุดยังมีรายงานพิเศษจาก IMF ว่า Stablecoins คือภัยอันตรายต่อระบบการเงินดั้งเดิม
เราน่าจะได้เห็นการแข่งขันในการสร้าง Stablecoins ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ Centralized หรืออยู่ภายใต้การกำกับดูแลรวมถึงแบบ Decentralized ที่ไม่มีการกำกับดูแลออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้ ส่วนใครจะสามารถครองตลาดได้ สิ่งเดียวที่จะพิสูจน์คือเสถียรภาพและความโปร่งใสของ Stablecoins นั้นๆ ในระยะยาวจะเป็นสิ่งที่ผูกมัดใจให้นักลงทุนมั่นใจที่จะใช้งาน
บทความโดย : ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)