เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ปั๊มรายได้จากการขาย 968.2 ล้านบาท เติบโต 5.2% และมีกำไรสุทธิ 62.5 ล้านบาท เติบโต 11.3% จากปีก่อน เร่งสานต่อกลยุทธ์ Go Firm ให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนได้ตามเป้าหมาย รองรับการขยายธุรกิจ พร้อมคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เตรียมพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) ต่อเนื่อง แย้มอยู่ระหว่างเจรจานำสินค้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา คาดได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงรอบด้านจากทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดของเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก แม้กระทั่ง TKN เองที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อชะลอตัว ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บริษัทฯ จึงต้องปรับตัวและฝ่าฟันธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 968.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 919.9 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 62.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 56.1 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับ 6.5% ตามการเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีก่อน โดย TKN ได้เร่งสานต่อกลยุทธ์ “Go Firm” เพื่อให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนได้ตามเป้าหมาย โดยได้ปรับองค์กรให้กระชับ คล่องตัว และรวดเร็วขึ้น (Lean) เพื่อลดต้นทุน โดยเฉพาะการผลิตสินค้าที่จะใช้ระบบเครื่องจักรอัตโนมัติเข้ามาทดแทนแรงงาน การบริหารจัดการวัตถุดิบให้อยูในระดับที่เพียงพอโดยมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ เพื่อให้ครอบคลุมกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของทั้งองค์กร ทำให้บริษัทมีการปรับตัวและยืดหยุ่นรองรับแผนงานขยายธุรกิจใหม่และส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจเดิมให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 ของบริษัทฯ นั้นยังสามารถเติบโตได้ดีทั้งรายได้และกำไร แต่ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยลบที่ต้องเผชิญคือเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ที่ลากยาวมาถึงปัจจุบัน แม้สถานการณ์ในประเทศไทยจะเริ่มคลี่คลาย และกำลังซื้อเริ่มทยอยกลับมา แต่ในประเทศจีนซึ่งเป็นฐานการส่งออกที่สำคัญ ยังมีผลกระทบอยู่จากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดในเซี่ยงไฮ้ ทำให้คำสั่งซื้อชะลอตัวออกไปบ้างเล็กน้อย แต่การที่ TKN มีตัวแทนจำหน่ายสินค้าในจีนเพิ่มขึ้น ทำให้ช่องทางการกระจายสินค้ามีศักยภาพมากขึ้น ซึ่งตัวแทนทั้ง 2 รายมีจุดเด่นในช่องทางกระจายสินค้าที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นช่องทางร้านค้าทั่วไป ห้างค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ และออนไลน์อีคอมเมิร์ซ อีกทั้ง TKN เดินหน้าใช้กลยุทธ์ Go Firm โดยเร่งบริหารจัดการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งการผลิต การขายและบริหาร ซึ่งได้ควบรวมโรงงานทั้ง 2 แห่งมาไว้ที่เดียว และเพิ่มการใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน รวมถึงการจ่ายค่าใช้จ่ายขายและการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิได้ให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยยังคงเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน พร้อมเตรียมพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ (NPD) อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สาหร่ายทอด สาหร่ายอบกรอบรสชาติใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สาหร่าย (Non-seaweed) รวมถึงเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ Just Drink ที่จะออกรสชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขายและเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้บริโภค
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจานำสินค้าไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในสหรัฐอเมริกา และอยู่ระหว่างการเจรจาหาพาร์ตเนอร์เพื่อแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายเพิ่มเติม คาดว่าจะได้ความชัดเจนเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ยอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาในปีนี้เติบโต 50-60% ถึงแม้ปัญหาค่าระวางขนส่งสินค้าในการจัดส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง บริษัทฯ ได้มีการบริหารจัดการและหารือร่วมกับคู่ค้าเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้