บล.พาย (Pi) มองว่าสัปดาห์นี้ปัจจัยหลักที่ตลาดจะให้ความสำคัญ ได้แก่ การรายงานภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หรือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย ซึ่ง Bloomberg คาดที่ 0.2%MoM, 8.1%YoY รวมไปถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่จะทราบผลอย่างเป็นทางการในคืนวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย ซึ่ง Bloomberg คาดที่ 10.7%YoY, 0.5%MoM
Pi ตั้งข้อสงสัยว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังหาจุดสูงสุดไม่เจอ สะท้อนจากการเติบโตเดือนต่อเดือนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันหากพิจารณาสาเหตุหลักของเงินเฟ้อสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งเงินเฟ้อไทย พบว่า สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมัน ดังนั้น หากเงินเฟ้อจะคลี่คลายคงต้องพิจารณาไปถึงราคาน้ำมัน
ปัจจุบันสถานการณ์ระหว่างยูเครน-รัสเซียยังไม่มีทางออกที่ชัดเจน และ EU เริ่มมีแผนจะหันไปหาพลังงานจากแหล่งอื่น ภาวะอุปทานขาดแคลนของน้ำมันจึงยังคงดำเนินต่อไป ดังนั้น โอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับฐานจึงยังไม่น่าจะเกิดเร็วๆ นี้ ภาวะเงินเฟ้อจึงมีแนวโน้มดำเนินต่อไป
แต่กับตลาดหุ้นต้องระวังเพราะเสี่ยงกับกำลังซื้อหดตัวกระทบเศรษฐกิจ รวมถึงบริษัทจดทะเบียน ความสามารถในการทำกำไรมีปัญหาอีกด้านผลจากต้นทุนที่เร่งตัวขึ้น ล่าสุด Bloomberg Consensus ปรับลดกำไรต่อหุ้นของตลาดลงมาอยู่ที่ 95 บาท/หุ้น จากก่อนหน้า 97 บาท/หุ้น
สำหรับในประเทศเน้นไปยังผลประกอบการ Q1/65 ที่เริ่มเข้าใกล้โค้งสุดท้ายของการประกาศ สัปดาห์นี้ Bloomberg คาดว่าจะมีหุ้นใน SET100 ราว 76 บริษัทรายงานออกมา
ดังนั้น คาดว่าช่วงต้นสัปดาห์ตลาดจะเคลื่อนไหวกรอบจำกัดเพื่อรอติดตามอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ หากแรงกว่าคาดจะเป็นปัจจัยกดดันตลาด แต่หากต่ำกว่าคาดจะเป็นบวกกับตลาด สำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตลาดยังคงให้น้ำหนักการประชุมเดือน มิ.ย.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ยังไม่เห็นความร้อนแรงของการปรับขึ้นถึง 0.75%
สัปดาห์นี้ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทย 1,615-1,645 จุด เชิงกลยุทธ์การลงทุนเรายังคงมุมมอง Wait & See สำหรับการลงทุนระยะกลาง ส่วนระยะสั้นแนะกลุ่มส่งออก (ASIAN TU) ผลบวกค่าเงินบาทอ่อนค่า โรงกลั่น (BCP SPRC TOP) ผลบวกค่าการกลั่นยืนระดับสูง
ASIAN (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 23 บาท) ประเมินกำไรฟื้นตัวตั้งแต่ Q2/65 จากรายได้อาหารสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งขึ้น หนุนจากกำลังการผลิตใหม่และอัตรกำไรที่ปรับดีขึ้นจากแรงกดดันด้านตนทุนที่ผ่อนคลายลง
TOP (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 67 บาท) ภาพรวม Q1/65 และทั้งปี 65 เป็นบวกจากค่าการกลั่นขาขึ้นที่คาดว่าจะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรปกติและเป็นกันชนต่อ downside risk ของราคาหุ้นได้ ขณะที่มีมุมมองเชิงบวกต่อแผนการปรับฐานเงินทุน เพราะการลงทุนในโครงการ CAP จะปูทางไปสู่ธุรกิจโอเลฟินส์ที่มีศักยภาพสูง