บิตคอยน์ ตลาดหุ้น และทองคำมีโอกาสฟื้นตัวขานรับผลการประชุม FED ที่ออกมาเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ นักลงทุนรุ่นใหม่วิเคราะห์ธีมการลงทุน แนะจับตาตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเมษายน หากออกมาลดลง หรือไม่สูงขึ้นกว่าเดือนมีนาคมจะส่งผลบวกต่อตลาดต่อไป ชูหุ้นกลุ่มแวลูจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจจากนโยบายเปิดเมืองทั่วโลก
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) กล่าวว่า ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ครั้งที่ 3 ของปีนี้ มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่มี Positive Surprise หรือเซอร์ไพรส์เชิงบวกเล็กๆ ตรงที่คณะกรรมการ FED มีมติปรับลดวงเงินการถอนสภาพคล่อง หรือ QT โดยมีผลในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ในวงเงินที่ลดลงเหลือเดือนละ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่คาดว่าจะลดครั้งละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่การตอบคำถามสื่อของ Jerome Powell ประธาน FED เปิดเผยว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียว 0.75% แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.5% อีก 2 ครั้ง โดยหลังจบการแถลง ดัชนี DXY หรือ Dollar Index มีการอ่อนตัวลง บ่งบอกว่าที่ผ่านมาตลาดคาดหวังว่าจะเกิดนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากกว่านี้ เมื่อไม่เป็นไปตามคาดจึงเกิดแรงเทขายเงินดอลลาร์สหรัฐกลับไปที่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
“ถ้าจะสรุปผลการประชุม FED ในรอบนี้ ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้เกือบทั้งหมด อาจจะมี Positive Surprise เล็กๆ จากวงเงิน QT ที่ออกมาน้อยกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ และการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาดกลับมาบวกได้ค่อนข้างแรง รวมถึงบิตคอยน์และทองคำที่ฟื้นตัว ทำให้มองได้ว่าการปรับฐานลงของตลาดก่อนหน้านี้ ได้ Price In ไปกับผลการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมาแล้ว ถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่เกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ว่าเราน่าจะได้เห็นการฟื้นตัวของตลาดหลังจากนี้”
นายณพวีร์ กล่าวว่า มองทิศทางการลงทุนหลังจากนี้ต้องติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนเมษายนว่าจะเพิ่ม หรือลดลง เมื่อเทียบกับเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ที่ 8.4% ถ้าหากตัวเลขออกมาไม่เพิ่มไปกว่านี้มาก ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นได้ต่อจากการที่ FED คลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแรง ซึ่งมีโอกาสสูงที่เงินเฟ้อเดือนมีนาคมอาจจะเป็นระดับสูงสุดแล้ว เพราะในเดือนเมษายนจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ราคาน้ำมันดิบไม่ได้พุ่งแรงมากเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ที่มีปัจจัยกดดันจากสงครามรัสเซียและยูเครนเข้ามาสมทบ
“แม้เงินเฟ้ออาจจะไม่พุ่งแรงจนถึงขั้นแตะระดับเลข 2 หลัก แต่ราคาพลังงานถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการคว่ำบาตรรัสเซียจากสหภาพยุโรป ทำให้เงินเฟ้อน่าจะยังประคองตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป แต่ไม่น่าจะกดดัน FED ให้ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่านี้ จึงมีความเป็นไปได้ว่าตลาดจะไม่มีการพักฐานแรงอีก”
สำหรับสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ “ทองคำ” อาจจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากราคาก่อนหน้านี้สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ 1,858 ดอลลาร์สหรัฐได้ และหลังการประชุม FED มีการปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาทดสอบระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน “บิตคอยน์” ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีการทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ยังไม่สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ ดังนั้นคาดว่าน่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้หลังจากนี้ โดยมีเป้าหมายที่ระดับ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
ทางด้านตลาดหุ้น มองว่าดัชนี S&P500 และ Dow Jones มีความน่าสนใจกว่า NASDAQ ตรงที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเริ่มมีประเด็นเรื่องของผลประกอบการรายบริษัทที่ออกมาแย่กว่าคาด โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด อย่าง Netflix และ Amazon ขณะที่หุ้นกลุ่มแวลูน่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเริ่มอ่อนแรง และหลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว
ขณะที่ตลาดหุ้นจีน ยังมีประเด็นเรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดจนต้องมีการปิดเมืองใหญ่หลายแห่ง ทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจในประเทศอาจชะลอตัวลง ถ้าหากยังไม่มีการประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลน่าจะยังไม่เห็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้น อีกทั้งหุ้นเทคโนโลยีจีนยังคงมีแรงกดดันจากนโยบายภาครัฐ ซึ่งมองในภาพรวมแล้วตลาดหุ้นจีนยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในระยะสั้น แต่ถ้ามีปัจจัยบวกเข้ามาจะเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว
“ส่วนตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจตรงที่นโยบายเปิดประเทศทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ SET Index ช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น โดยสามารถทยอยสะสมหุ้นมาร์เกตแคปใหญ่ในช่วงไตรมาส 2 นี้ เพื่อรอตลาดฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง และอีกหนึ่งตลาดหุ้นที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ปรับตัวลงมาประมาณ 10% จากจุดสูงสุด ยังมองเป็นเพียงแค่การปรับฐานระยะสั้น ถ้ากลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ ยังเป็นโอกาสเข้าลงทุน”