xs
xsm
sm
md
lg

วัสดุก่อสร้าง-อสังหาฯ มุ่ง “Net Zero” อาคารเขียว-โซลาร์รูฟท็อป คำตอบบ้านยุคพลังงานแพง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

อุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกๆ ปี เกิดจากภาวะก๊าซเรือนกระจกที่สะสมมากขึ้น ทำให้เกิดการตื่นตัวเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม และแก้ปัญหาวิกฤตโลกร้อน โดยการรณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การตื่นตัวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในกลุ่มผู้คนทั่วไป แต่ในกลุ่มอุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ ได้หันมาให้ความสำคัญกันมากขึ้นทุกวัน

โดยเฉพาะหลัง การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งในครั้งนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แสดงเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก โดยประเทศไทยจะยกระดับการแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ.2050 และ บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้ในปี ค.ศ.2065

การประกาศเจตนารมณ์ครั้งนี้ทำให้รัฐบาลได้ขับเคลื่อนและผลักดันให้ภาคธุรกิจต่างๆ ในประเทศพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานน้ำมันและถ่านหินในขั้นตอนการผลิต รวมถึงการหันมาใช้พลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน และการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติลง เพื่อช่วยแก้ปัญหามลพิษและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยในส่วนของภาคธุรกิจพลังงานนั้น กลุ่มบริษัท ปตท. ถือเป็นองค์กรแรกๆ ที่มีการวางกรอบการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดรับการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ส่วนในภาคธุรกิจวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมก่อสร้าง รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์นั้น บมจ.SCG นั้นถือว่าเป็นแกนนำในการผลักดันให้บริษัทและผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้าง ร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเลือนกระจก โดยได้ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรทางธุรกิจ 23 องค์กร ก่อตั้ง กลุ่ม CECI หรือกลุ่มความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ในปี 2561 โดยเริ่มต้นจากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารของพันธมิตรองค์กรเอกชนในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อช่วยบริหารจัดการปัญหาเศษวัสดุเหลือทิ้งในอุตสาหกรรมก่อสร้างได้ ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า มุ่งสู่การดำเนิน อุตสาหกรรมก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Construction เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีและให้ผลตอบแทนทางสังคม ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าผ่านกระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์ด้านการประหยัดพลังงาน ยืดอายุการใช้งาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อน

รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และหัวหน้าคณะที่ปรึกษาศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน RISC กล่าวถึงแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้างในงานลงนามความร่วมมือ CECI : Action for Sustainable Future เพื่อบรรลุเป้าหมายในการยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยด้วยหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 23 องค์กรธุรกิจร่วมลงนามว่า เป็นครั้งแรกที่เราเคยได้ยินว่าทรัพยากรแร่ธาตุกำลังจะสูญพันธุ์ จากเดิมที่เราเคยได้ยินแต่คำว่าสัตว์กำลังจะสูญพันธุ์ แต่ปัจจุบันเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้น จากการเก็บสถิติและคาดการณ์อนาคตพบว่า ณ วันนี้ ปี 2565 โครเมียมหมดไปแล้ว และอีก 70 ปี อะลูมิเนียมซึ่งเป็นหนึ่งในวัสดุก่อสร้างจะหมดไป เพราะเราใช้มันเร็วกว่าที่มันจะเกิดขึ้นได้ และมีการรีไซเคิลน้อยกว่าที่ควรจะทำ

“จากจุดนี้เองทำให้เกิดแนวคิดการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือการวนทรัพยากรกลับมาใช้ เพราะไม่สามารถใช้แล้วทิ้งอย่างฟุ่มเฟือยเช่นอดีตที่ผ่านมาได้อีกแล้ว เพราะทรัพยากรแร่ธาตุเหล่านี้หมดแล้วหมดเลย และถ้าไม่มีการรีไซเคิล หรือนำทรัพยากรเหล่านี้กลับมาใช้ใหม่ อีก 50-70 ปี จะไม่มีทรัพยากรให้เราใช้กันอีก”

ทั้งนี้ จากสถิติที่ผ่านมา ทรัพยากรแร่ธาตุที่ใช้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ นั้น กลุ่มทรัพยากรแร่ธาตุที่ใช้ผลิตวัสดุก่อสร้าง หรือวัตถุดิบในอุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นกลุ่มที่ถูกใช้งานมากที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่ภาวะใดก็ตาม ทำให้โอกาสในการหมดไปของทรัพยากรแร่ธาตุเหล่านี้จะหมดไปเร็วกว่าทรัพยากรอื่นๆ ซึ่งนี่ทำให้เกิดแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง

“คาดการณ์การใช้ทรัพยากรในอุตสาหกรรมก่อสร้างในอีก 50 ปีข้างหน้า พบว่า ทรัพยากรในกลุ่มอุตสาหกรรมการก่อสร้าง การก่อสร้างจะมีอัตราการขยายตัวที่เร็วมากๆ เมื่อเทียบกับทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรในอุตสาหกรรมอาหาร น้ำมัน ที่มีการบริโภคกันในทุกๆ วัน แต่ยังมีสัดส่วนปริมาณการใช้งานน้อยกว่าอุตสาหกรรมก่อสร้าง”

นอกจากการใช้ทรัพยากรในอุตสาหกรรมก่อสร้างจะมีจำนวนมากแล้ว ปริมาณขยะที่เกิดจากอุตาหกรรมก่อสร้างที่ถูกทิ้งไปยังมีจำนวนมากที่สุดด้วย โดยมีปริมาณ 30-40% ของขยะรวม หรือ 1 ใน 3 ของขยะในโลก ทั้งนี้ ในหลุมขยะหรือใต้เมืองขนาดใหญ่ต่างๆ ในโลก และคาดว่าจำนวนขยะก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวในอีก 3 ปีข้างหน้า ดังนั้นแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง (CIRCULAR ECONOMY IN CONSTRUCTION INDUSTRY) หรือ CECI จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการสูญสิ้นไปของทรัพยากรโลกในอนาคต

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.SCG กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญวิกฤตอากาศแปรปรวนจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.2 องศา ทรัพยากรทั่วโลกขาดแคลนด้วยจำนวนประชากรที่จะเพิ่มสูงขึ้น 9.6 พันล้านคน และปัญหาปริมาณขยะล้นโลก ถึงเวลาที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันกู้วิกฤตโลก โดยใช้ ESG ประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) กรอบการพัฒนาที่เป็นมาตรฐานการดำเนินธุรกิจระดับโลกสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs (Sustainable Development Goals) ของสหประชาชาติ และโมเดลเศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืนของรัฐ หรือ BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy)

"วันนี้ SCG ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง จึงได้ยกระดับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SD (Sustainable Development) เป็นแนวทางดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมชุมชน และสิ่งแวดล้อม สู่แนวทาง ESG 4 Plus ได้แก่ 1.มุ่ง Net Zero 2.Go Green 3.Lean เหลื่อมล้ำ 4.ย้ำร่วมมือ Plus เป็นธรรม โปร่งใส"

ทั้งนี้ ในการตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจของ SCG ในปี 2565 นี้ SCG จึงเน้นกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยนำ 3 กลยุทธ์ Green Construction, Living Smart at Home และ Change of Retail Experience เดินหน้าประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและนำเสนอนวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและเทรนด์การอยู่อาศัย-ก่อสร้าง เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ให้ลูกค้า ด้วยการเชื่อมโยงทุกช่องทางการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ให้แก่ลูกค้า

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างกำลังตื่นตัวผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เอง ผู้ประกอบการอสังหาฯ หันมาให้ความสำคัญในการผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนในโครงการจัดสรรและคอนโดมิเนียมมากขึ้น

โดยก่อนหน้านี้ นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวว่า ในปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯ มีการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยการนำพลังงานทางเลือกเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและอาคารชุดพักอาศัย โดยเฉพาะการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) หรือหลังคาโซลาร์เซลล์ โดยการนำแผงโซลาร์เซลล์ติดตั้งไว้บนหลังคาอาคารที่อยู่อาศัย เพื่อทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้งานในระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในอาคาร

ปัจจุบันการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์บนอาคาร ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและอาคารชุดพักอาศัยมีต้นทุนที่ถูกลงเมื่อเทียบกับ 10 ปี ก่อนหน้านี้ โดยมีการพัฒนารูปแบบของระบบออกเป็น 3 ระบบ คือ ระบบที่ต่อเข้ากับระบบสายส่งจากการไฟฟ้า หรือเรียกว่า ออนกริด (On Grid) ระบบการใช้งานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่สมบูรณ์ในตัวเองเก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ที่เรียกว่า ออฟกริด (Off grid) และระบบ ไฮบริด (Hybrid) ในรูปแบบที่ผสมผสานระหว่าง On Grid กับ Off Grid เข้าด้วยกันทั้ง 3 ระบบ มีต้นทุนค่าติดตั้งในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 169,000 บาท

สำหรับบริษัทอสังหาฯ รายแรกๆ ที่ผลักดันให้เปิดการใช้พลังงานทดแทนในโครงการคอนโดฯ และหมู่บ้านจัดสสรร คือ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ซึ่งได้ก่อตั้ง บริษัท เอท โซลาร์ จำกัด ขึ้นในปี 2564 โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายธุรกิจการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) โดยมีเป้าหมายการเติบโตรายได้เฉลี่ยปีละ 10% ซึ่งปี 2564 เสนาฯ วางกำลังผลิตติดตั้งรวมไม่ต่ำกว่า 5 เมกะวัตต์ โดยเน้นการติดตั้งที่มีคุณภาพและคัดเลือกโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ครอบคลุมทั้งโครงการบ้านของเสนา และภาคธุรกิจอื่นๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าในสถานีบริการน้ำมัน และโรงงานอุตสาหกรรม และพร้อมสำหรับธุรกิจการให้คำปรึกษาและบำรุงรักษา ทำความสะอาดระบบโซลาร์ในโครงการต่างๆ

“ในปี 2565 นี้ เสนาฯ จะผลักดันให้มีการใช้โซลาร์รูฟท็อป ในโครงการใหม่ของเสนาฯ ทุกโครงการ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดของปีนี้ โดยเฉพาะในโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งจะมีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาให้ลูกค้าในทุกโครงการ” ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เสนาฯ กล่าว

ก่อนหน้านี้ บมจ.ออริจิ้น ดีเวลลอปเม้นท์ เป็นอีกรายที่จับมือกับพันธมิตรร่วมทุนก่อตั้งบริษัทร่วมทุนกับ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง ภายใต้ชื่อ บริษัท ออริจิ้น กันกุล เอ็นเนอร์ยี จำกัด เพื่อร่วมกันดำเนินกิจการด้าน พลังงานทดแทน/พลังงานสะอาด ในโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุด บริษัทได้วางแผน 3 ปี (65-67) ในการผลักดันให้เกิดหมู่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ วิลเลจ) ในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI บริษัทในเครือ ซึ่งพัฒนาบ้านจัดสรร โดยเฉพาะในโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ แกรนด์ บริทาเนีย

นอกจากนี้ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค คือ บริษัทอสังหาฯ ที่รุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด โดยร่วมกับ บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด เพื่อขยายตลาด โซลาร์รูฟท็อป ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา และร่วมมือกับ บริษัท อีวีโลโมเทคโนโลยีส์ จำกัด ในการติดตั้ง เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน โดยเริ่มจากการติดตั้งให้บ้านเดี่ยวสร้างใหม่ในโครงการระดับไฮเอนด์ แบรนด์ “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ และ เลค เลเจ้นด์” ซึ่งวางเป้าหมายขยายไปยังกลุ่มลูกค้าทั่วไป ครอบคลุมทั้งโครงการบ้านของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค รวมถึงชุมชนบริเวณใกล้เคียงและธุรกิจในกลุ่มบริษัท ทั้ง โรงแรม คอมมูนิตีมอลล์ เพื่อมุ่งสู่การเป็นชุมชนพลังงานสะอาด โดยวางเป้าหมายการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป จำนวน 30,000 หลัง และ 50,000 หลังสำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

ทั้งนี้ SCG คือรายล่าสุดที่ขยายธุรกิจเข้าตลาดพลังงานทดแทน หลังจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาใช้ชีวิตภายในบ้านมากขึ้นรวมถึงการ Work From Home เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และมลพิษฝุ่น PM 2.5 ทำให้มีการใช้ไฟ เปิดแอร์ช่วงกลางวันมากขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นถึง 30-50% เจ้าของบ้านจึงมองหาโซลูชันที่ช่วยลดรายจ่ายเรื่องค่าไฟ โดยเฉพาะการติด โซลาร์รูฟ

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดโซลาร์ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมถึงในประเทศไทยตลาดโซลาร์มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8,200 ล้านบาท จากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป โซลาร์รูฟ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น แต่ความรู้ความเข้าใจในระบบโซลาร์ของลูกค้ายังมีไม่มาก เช่น การติดตั้งที่ได้มาตรฐาน มาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ รวมถึงการขออนุญาตกับภาครัฐ ทาง เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น จึงพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยเรามีการผลักดันช่องทางการขายแบบ Omni-Channel และทำการตลาดผ่าน Digital Marketing อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขายของ เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น เติบโตเกือบ 200%

นอกจากการผลักดันให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนในโครงการจัดสรรและการลดการปล่อยก๊าซเลือนกระจกแล้ว ภาครัฐเองยังพยายามผลักดันให้ธุรกิจอสังหาฯ ปรับตัวก้าวสู่ยุคการสร้างนวัตกรรมรองรับการประหยัดพลังงาน ซึ่ง กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) โดย ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดี กล่าวว่า รัฐบาลได้ประกาศให้การลดใช้พลังงานเป็นวาระสำคัญของประเทศ เพื่อให้ทุกภาคส่วนลดการใช้พลังงาน ขณะเดียวกัน พพ. ได้เจรจากับธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ในการ สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน

นอกจากนี้ ทาง พพ. เตรียมที่จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และธนาคารพาณิชย์ในการขอจัดสรรวงเงินในกรอบของพระราชบัญญัติในแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท เพื่อที่จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งวงเงินดังกล่าวมีส่วนมาสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานทดแทน โดย ธปท. จะปล่อยสินเชื่อผ่านธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ย 0.01% และธนาคารปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนไปเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำ 2% ในช่วง 2 ปีแรก และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีถัดๆ ไปแต่ไม่เกิน 5%

กระแสการลดก๊าซเลือนกระจก หรือ Net Zero ในปัจจุบัน ทำให้ภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐหันมาร่วมกันขับเคลื่อนการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น และกำลังได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดสงครามระหวังรัสเซียและยูเครน ซึ่งมีผลต่อต้นทุนพลังงานในตลาดโลกและการปรับตัวของเงินเฟ้อจากการปรับตัวของต้นทุนพลังงาน ประกอบกับภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งในปัจจุบันประชาชนรับรู้และสัมผัสได้แล้วว่าปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แนวโน้มดังกล่าวทำให้จากนี้ไปจะเริ่มเห็นว่าในโครงการจัดสรรและคอนโดฯ เกิดใหม่มีการติดตัวโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาบ้านและอาคารสูงเพิ่มากขึ้น ขณะเดียวกัน อาคารใหม่ๆ จะถูกออกแบบเป็นอาคารเขียว หรือ Green Building มากขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น