สมาคมนักวิเคราะห์ฯ หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือโต 3.09% จากเดิมคาดโต 3.71% พร้อมหั่นกำไร บจ.เหลือ 89.11 บาท/หุ้น ส่วน SET ช่วงที่เหลือของปีคาดแกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด แนะกระจายพอร์ตลงทุน เชียร์ BDMS-KBANK และ MAKRO เป็นหุ้นเด่น ด้าน ตลท. มองราคาน้ำมัน-เงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นใน Q2-Q3 นี้ ขณะที่ประเด็นรัสเซีย-ยูเครน-โควิด ยังกดดัน ขณะที่ บล.เอเซียพลัส ยังคงเป้าดัชนีปีนี้ 1,810 จุด เชื่อลุ้นเม็ดเงินสถาบันไหลเข้าครึ่งปีหลังหนุนตลาด
สมาคมนักวิเคราะห์หั่นเป้าจีดีพี-กำไร บจ.ปีนี้
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 65 (ไตรมาส 2-4/65) โดยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ หรือจีดีพีปีนี้ลงมาเหลือโต 3.09% จากเดิมที่ คาดโต 3.71%
โดยปัจจัยกดดันมาจากสถานการณ์การเมืองโลก รัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบประมาณการราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปี 65 สูงขึ้น จากคาดเดิมเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 69.90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาเป็น 94.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 65 ยังมีปัจจัยบวกจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเติบโต ส่วนปัจจัยด้านลบ คือแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปัจจัยการเมืองในต่างประเทศ เศรษฐกิจโลก และการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก
ขณะที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ประเมินว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.50% ตลอดปีนี้
นอกจากนี้ คาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 65 ถูกปรับลดลงมาเหลือ เฉลี่ยที่ 89.11 บาท/หุ้น หรือโต 9.33% จากปี 64 ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่อยู่ที่ 89.59 บาท/หุ้น
มองเป้าดัชนี Q2 แกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด
ส่วนเป้าหมาย SET Index ในช่วงไตรมาส 2/65 นั้น ผลสำรวจชี้ว่าส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นไทยอยู่ในลักษณะ Sideways โดยคาดการณ์ SET Index ณ สิ้นไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 1,688 จุด ส่วนมุมมองจากไตรมาสที่ 2 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,567-1,774 จุด และปิดสิ้นปีที่ 1,747 จุด
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนในหุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.46% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 27.29% เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 13.85% กองทุนตราสารหนี้ 13.15% กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 8.66% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.41% อื่นๆ 0.18%
ทั้งนี้ ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ ค้าปลีก ธนาคาร การท่องเที่ยว และสื่อสาร และลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจปิโตรเคมี พลังงานและสาธารณูปโภค และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยหุ้นเด่น คือ BDMS, KBANK และ MAKRO
ตลท.กังวลราคาน้ำมันแพง เงินเฟ้อสูง กระทบเศรษฐกิจใน Q2-3 นี้
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจัยที่จะมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2-3 ปีนี้ ประกอบด้วยปัจจัยในประเทศ เรื่องมาตรการรัฐที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้ภายใต้ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้นสูง
"ไตรมาส 2-3 นี้สำคัญเพราะการที่จะทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินต่อได้ในภาวะราคาน้ำมันสูงจะทำอย่างไร ส่วนปัจจัยต่างประเทศเป็นเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์โควิด" นายศรพล กล่าว
เขากล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค โดยช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ผู้ลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิรวม 131,367 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง 4 เดือน มาจากการเปิดประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อแม้จะปรับขึ้นแต่ไม่แรงเท่าประเทศอื่น เช่นเดียวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความเป็นไปได้ แต่ไม่แรงเท่าสหรัฐฯ
"การไหลเข้าของ Fund flow ต่างชาติจะอยู่ยาวหรือไม่ ณ วันนี้ หลายปัจจัยยังคล้ายต้นปี ส่วนปัจจัยที่จะทำให้ Fund flow ไหลออกนั้น ถ้าตราบใดที่ไม่มีอะไรผิดไปจากเดิม ทั้งสงคราม โควิด การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มองว่าตลาดหุ้นยังเป็นจุดที่น่าสนใจอยู่ ยกเว้นว่าถ้าสงครามหยุดลง หรือยุโรปกลับมา จีนปรับเปลี่ยนนโยบาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป" รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร กล่าว
เอเซียพลัสคงเป้า SET ปีนี้ 1,810 จุด จับตาสถาบันไหลเข้าครึ่งปีหลัง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) กล่าวว่า ยังคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,810 จุด เป็นระดับดัชนีที่มี Market Equity Yield Growth ที่ดีในระดับ 4.3% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยที่ 4%
โดยปัจจัยหนุนตลาดหุ้นคือ เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันที่จะไหลเข้ามาในครึ่งปีหลัง เนื่องจากปัจจุบันพบว่าเงินสดจากสถาบันที่ถือครองในสัดส่วนค่อนข้างมากกว่าปกติ โดยประเมินว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันที่ไหลเข้ามานั้นจะเน้นไปที่การลงทุนในตลาดหุ้นที่กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังสามารถเติบโตได้ และเป็นตลาดหุ้นที่ยังให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับที่ดี ซึ่งตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่น่าจะมีโอกาสที่เม็ดเงินของสถาบันจะเข้ามาช่วยหนุนในครึ่งหลังปีนี้
เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่ครบกำหนดการไถ่ถอนกองทุน LTF ของปี 59 มูลค่ารวมกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้เห็นแรงขายจากสถาบันออกมามากกว่าปกติในช่วงต้นปี แต่ปัจจุบันผ่านมาเพียง 3 เดือน สถาบันขายสุทธิหุ้นไทยแล้วกว่า 8 หมื่นล้านบาท เกินกว่ามูลค่า LTF ที่ซื้อทั้งปี 59
ดังนั้น ฝ่ายวิจัย ASPS ลองตรวจสอบดูตัวเลขสถานะการถือครองเงินสด ณ สิ้นเดือน ก.พ.65 ในกองทุนรวมที่มีนโยบายสามารถลงทุนหุ้นไทยได้เต็มพอร์ตทั้งหมด 370 กองทุน มี AUM รวม 5.6 แสนล้านบาท พบว่า มีรายการเทียบเท่าเงินสดมูลค่ารวมกันกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.52% ต่อเงินลงทุนทั้งหมด ถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภาวะปกติที่ถือครองเงินสดราว 2-3% อีกทั้งยังเห็นแรงขายสุทธิต่อเนื่องในเดือน มี.ค.65 (mtd) อีก 1.8 หมื่นล้านบาท แสดงว่าปัจจุบันกองทุนถือเงินสดในสัดส่วนที่สูงขึ้นไปอีก และหากพิจารณาเพิ่มเติมเป็นรายกองทุน พบว่า มีกองทุนที่ถือเงินสดในสัดส่วนที่สูงกว่า 20% ถึง 21 กองทุนจาก 370 กองทุน
สรุปคือ สถานะการถือเงินสดของกองทุนที่มีปริมาณมากกว่าปกติ แสดงให้เห็นถึงการตอบรับความกังวลจากปัจจัยลบต่างๆ ไปในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้เชื่อว่าแรงขายจากกองทุนที่เคยกดดันตลาดในช่วงต่อจากนี้น่าจะเบาลง และหากตลาดย่อตัวลงมา หรือมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุน น่าจะเห็นแรงซื้อกลับเข้ามาช่วยหนุนตลาดอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ต่างชาติยังมีโอกาสซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องอีก ด้วยปัจจัยความได้เปรียบของตลาดหุ้นไทยในหลายๆ ด้าน
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบสถาบันส่วนใหญ่กลับมาถือครองเงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิมที่ถือเงินสดไว้ 20% เนื่องจากนักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจต่อสถานการณ์และความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ ที่ยังมีอยู่ รวมถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจที่มีโอกาสกลับมาชะลอตัว ทำให้มีการถือเงินสดเพื่อรอดูทิศทางให้มีความชัดเจน และอยู่ระหว่างการหาจังหวะกลับเข้าไปลงทุนอีกครั้ง
นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นแรงหนุนสำคัญ โดยในปี 65 ตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ สะท้อนได้จากในช่วง 3 เดือนแรกของปี ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยสูงสุดในภูมิภาคกว่า 3.1 พันล้านเหรียญ หรือ 1.1 แสนล้านบาท แม้ต่างชาติจะซื้อสุทธิหุ้นไทยปริมาณมาก แต่ SET Index ยังปรับตัวขึ้นมาไม่มาก สิ่งที่กดดัน SET คือ แรงขายสุทธิจากกองทุนกว่า 8 หมื่นล้านบาท (ytd)
อย่างไรก็ตาม หากประเมินเฉพาะไตรมาส 2/65 ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นได้ แต่การปรับตัวขึ้นจะไม่ได้เห็นการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นการแกว่งตัวขึ้นที่ชะลอตัวลง และระหว่างทางอาจจะมีแรงกดดันเข้ามาทำให้ดัชนีย่อตัวลงมาได้ ปัจจุบันยังคงมีปัจจัยกดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้นในเรื่องของ Inverted Yield Curve ที่เกิดขึ้น เป็นปัจจัยสะท้อนภาพของเศรษฐกิจที่มีโอกาสเกิดการชะลอตัว
แนะ 3 หุ้นเด่น AEONTS-MAJOR-SAPPE
ด้านกำไร บจ.ในปีนี้มีมุมมองเชิงบวกต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับปัจจัยบวกด้านราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงจะหนุนต่อ EPS ในปีนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งหากรวมปัจจัยบวกด้านราคาน้ำมันที่เร่งตัวขึ้นสูงนั้นจะทำให้ประมาณการ EPS ของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นเป็น 93.9 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 88.9 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 86.2 บาท/หุ้น สะท้อนว่า บจ.ยังมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้นได้อยู่ในภาวะที่มีแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก
ทั้งนี้แนะนำหุ้นเด่น 3 หุ้นต่อไปนี้
AEONTS ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมือง ทำให้กำลังซื้อกลับมา มีความต้องการในการเบิกใช้สินเชื่อส่วนบุคคลกลับมาฟื้นตัว อีกทั้งเป็นหุ้นที่มีค่า P/E ที่ถูกเพียง 11-12 เท่า และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ราว 2%
MAJOR ได้รับอานิสงส์จากการเปิดเมืองค่อนข้างมาก และหนังจากฮอลลีวูดฟอร์มยักษ์ และหนังไทยที่ตบเท้าเข้าฉายในปีนี้มากขึ้น และยังมีการลงทุนในบริษัทอื่นที่ยังเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพของบริษัท
SAPPE ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง และในช่วงเทศกาลและฤดูร้อนนี้จะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเติบโตของยอดขายเครื่องดื่มในต่างประเทศที่ยังเติบโตได้ดี