สมาคมค้าทองคำ รายงานว่า ราคาขายปลีกทอง (ทองคำ 96.5%) ในประเทศปรับเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้บาททองคำละ 900 บาท ตามสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก
โดยเปิดตลาดเช้านี้เมื่อเวลา 09.28 น.ราคาทองคำแท่ง รับซื้อเข้าบาททองคำละ 31,900.00 บาท ขายออกบาททองคำละ 32,000.00 บาท ส่วนราคาทองรูปพรรณ รับซื้อเข้าบาททองคำละ 31,320.56 บาท ขายออกบาททองคำละ 32,500.00 บาท
บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หากราคาทองคำยังสามารถยืนเหนือแนวรับโซน 2,028-2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้มีแนวโน้มดันขึ้นสู่บริเวณ 2,069 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม ในโซนดังกล่าวขึ้นไปต้องระวังแรงขายทำกำไรที่จะออกมา แต่หากยืนได้ วันนี้ประเมินแนวต้านถัดไปที่ 2,075-2,088 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เมื่อวานนี้ราคาทองคำปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 52.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยทั้งในแง่เทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่
1.แรงซื้อตามทางเทคนิคหลังจากที่ราคาทองคำทะลุผ่านแนวต้านจิตวิทยา และ Neckline ของ Invert H&S บริเวณ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
2.ความวิตกว่าความตึงเครียดในยูเครนจะลุกลามจนกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจทั่วโลกและยิ่งกระตุ้นเงินเฟ้อ ท่ามกลางพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน หลังสหรัฐฯ แบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ส่วนสหราชอาณาจักรวางแผนที่จะยกเลิกการนำเข้าน้ำมันของรัสเซียทั้งหมดเช่นกัน ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. และสัญญาน้ำมันดิบเบรนต์ (BRENT) ส่งมอบเดือน พ.ค.พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2561 จนกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
3.การอ่อนค่าของดัชนีดอลลาร์จากแรงขายทำกำไร และการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่เกินคาด เช่น ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อม
4.การแข็งค่าของยูโรจากความคาดหวังว่าสหภาพยุโรป (EU) จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังเพื่อช่วยชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
และ 5.กองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มอีก +4.64 ตัน สะท้อนกระแสเงินทุนที่ไหลเข้ากองทุน ETF ทองต่อเนื่อง ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดอยู่เบื้องหลังการทะยานขึ้นทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 2,069.74 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งไม่ไกลจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ขึ้นไปทดสอบในวันที่ 7 ส.ค.63