xs
xsm
sm
md
lg

"นริศ เชยกลิ่น" ชูไอเดีย "สร้างเมืองใหม่" ยกระดับคุณภาพชีวิตทุกมิติ ย้ำไทยต้องมุ่งเศรษฐกิจดิจิทัลตามเทรนด์โลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นริศ เชยกลิ่น
"นริศ เชยกลิ่น" ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค "สร้างอนาคตไทย" พร้อมนำประสบการณ์การทำงานในแวดวงการเงินปั้นอสังหาฯ ขนาดใหญ่ ร่วมกำหนดเป้าหมายเสริมนโยบายพรรค ประกาศส่งเสริมสร้างเมืองใหม่ เมืองท่าทางเศรษฐกิจ มุ่งสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกมิติ ลดภาระให้กรุงเทพฯ มองประชาชนยังมีปัญหาในเรื่องมีที่อยู่อาศัย ระบุโครงการ "บ้านล้านหลัง" ยังไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด ต้องยกระดับความเข้มแข็งใหักลุ่มคนระดับกลาง พร้อมพบ 3 สมาคมอสังหาฯ รับฟังข้อแนะนำ ห่วงธุรกิจโรงแรมจ้างงานยังต่ำกว่า 50% เผยประเทศไทยต้องมุ่งสู่ "เศรษฐกิจดิจิทัล" ตามให้ทันเทรนด์โลกยุคใหม่ หลังข้อได้เปรียบด้านแรงงานไทยด้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน

พรรคการเมืองใหม่ภายใต้ชื่อ "พรรคสร้างอนาคตไทย" พรรคที่เป็นทางเลือกและความหวังใหม่ของเศรษฐกิจและการเมือง โดยได้มีการเผยโฉมขุนพลของพรรค ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงการเมือง นักธุรกิจที่มากด้วยความสามารถ และหนึ่งในนั้น นายนริศ เชยกลิ่น นักธุรกิจคนเก่งที่มีประสบการณ์ในแวดวงธุรกิจการเงิน และอดีตผู้บริหารระดับสูงใน CPN บริษัท อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย และผู้บริหารระดับสูงในบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคงในระยะเพียง 7 ปี สามารถเพิ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงกว่า 70,000 ล้านบาท

โดยนาย นริศ เชยกลิ่น (Naris Cheyklin) ผู้ร่วมก่อตั้ง “พรรคสร้างอนาคตไทย” เปิดเผยถึงเจตนารมณ์ที่พลิกผันเข้ามาสู่สนามการเมืองว่า จริงๆ แล้วตนสนใจการเมืองมานานแล้ว มีการพูดคุยกับท่าน ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก่อนมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทสิงห์ เอสเตทฯ (ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือบุญรอดบริวเวอรี่) และตนเองได้วางเป้าหมายของชีวิตตั้งแต่อยู่ที่ CPN เมื่ออายุครบ 60 ปี จะเกษียณอายุ ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นโอกาสและจังหวะพอดี เพราะเมื่อเดือนกันยายน ปี 2564 ที่ผ่านมา ครบอายุ 60 ปี เกษียณอายุพอดี

"จะว่าไปแล้วชีวิตผมดูเหมือนถูกลิขิตพอสมควร ถ้าผมอยู่บ้านเฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมกับท่านอุตตม สาวนายน รู้จักกันมา 20 ปี คิดว่าถึงเวลาที่จะเข้ามาทำประโยชน์ให้ประชาชนและประเทศ ทำอย่างไรที่จะลดความเหลื่อมล้ำ อยากเข้าไปดูแลชาวไร่ชาวสวน แม้จะเป็นโจทย์ที่ยากมาก" นายนริศ กล่าว

ชูนโยบายส่งเสริมเมืองใหม่
ยกระดับคุณภาพชีวิตทุกมิติ

นายนริศ กล่าวต่อว่า การจะยกระดับและสร้างสังคมคุณภาพชีวิตให้ประชาชนนั้น ในความเห็นส่วนตัวแล้ว (ไม่เกี่ยวกับพรรค) ควรที่จะมีการพัฒนาหรือสนับสนุนแนวทางการสร้างเมืองใหม่ ผมดูกรุงเทพ มหานคร (กทม.) เหนื่อยมาก ดูแย่ไปหมด ดังนั้น ควรที่จะสร้างเมืองใหม่ ค่อยๆ สร้างให้มันดี และค่อยๆ ปรับปรุงกรุงเทพฯ ให้ดี และเชื่อว่าจะมีประชากรในกรุงเทพฯ ย้ายไปอยู่ที่เมืองใหม่ ซึ่งในอีก 2 ปีข้างหน้าเราจะมีระบบรางที่ดีและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

"เมืองใหม่อาจจะไม่ได้ทำทั้งหมด หรือสมบูรณ์แบบทีเดียว แต่ผมเชื่อว่าจะค่อยๆ ถูกพัฒนาจนกลายเป็นเมืองที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ ซึ่งทั้งหมดต้องมีการนำร่อง เช่น การสร้างเมืองการศึกษา หรือเมืองราชการก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เมืองราชการจะเป็นเมืองหลวง ซึ่งจะเรียกว่า เมืองท่า เมืองเศรษฐกิจ อย่างเช่นในประเทศออสเตรเลียก็  มีเมืองราชการจริงๆ ทำได้ดีมาก ทั่วโลกจะมีเมืองคู่ ซึ่งเมืองใหม่กับกรุงเทพฯ นั้นจะต้องมีการซัปพอร์ตซึ่งกันและกัน เช่น ระบบการสื่อสาร และระบบขนส่งมวลชนที่ไม่ไกลกันเกินไป แต่ทั้งนี้ การจะสนับสนุนให้เกิดเมืองใหม่นั้นเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ของผู้นำ จะตั้งใจทำเรื่องพวกนี้หรือไม่ แต่ผมมองในเชิงของข้อดีแล้วกัน อย่างน้อยจะทำให้กรุงเทพฯ น่าอยู่ยิ่งขึ้น การบริหารจัดการจะทำได้ดียิ่งขึ้น" นายนริศ กล่าว

เปิดไอเดียกระตุ้นภาคอสังหาฯ
แนะต้องฟื้นกลุ่มชนชั้นกลางให้เข้มแข็ง

สำหรับในด้านเรื่องการสร้างคุณภาพชีวิตในการมีที่อยู่อาศัยนั้น นายนริศ กล่าวว่า สิ่งที่เราอยากเดินไป คือ ทำอย่างไรให้คนมีบ้านง่ายขึ้น และการสร้างแรงจูงใจควบคู่ไปกับการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากภาค อสังหาริมทรัพย์มีส่วนต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 10% ดังนั้น หากภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง ส่งผลต่อไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ภาคแรงงาน วัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะส่งเสริมให้ห่วงโซ่ของซัปพลายเชนต่างๆ ดีขึ้น และจะมีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย

อย่างไรก็ดี แม้รัฐบาลในปัจจุบันจะมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และลดจดจำนองเหลือรายการ 0.01%) ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่เรายังมองว่าประชาชนยังมีปัญหาในการมีที่อยู่อาศัย เช่น โครงการบ้านล้านหลัง เป็นการให้โอกาสคนระดับล่างได้มีบ้าน แต่ไม่ได้ตอบโจทย์ทั้งหมด

"โดยส่วนตัวแล้ว การจะดูแลผู้มีรายได้น้อยก็เป็นอีกประเด็น ซึ่งควรมีมาตรการอื่นเข้ามาช่วย ทำอย่างไรจะเสริมมาตรการกับกลุ่มคนระดับกลางขึ้นไป ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลต้องพยายามหาแนวทางเข้าไปสนับสนุน เพราะฐานของกลุ่มคนระดับกลางที่ใหญ่ จะมีส่วนสร้างงาน สร้างรายได้คืนกลับใหัรัฐบาล"

ในขณะที่ปัจจุบันเราเป็นห่วงมาก คนรุ่นถัดไปจะหาบ้านยากขึ้น เพราะราคาบ้านจะปรับขึ้น ซึ่งภาพที่เราเห็นวิกฤตโควิด-19 ที่หนักอยู่ตอนนี้ จะเห็นว่า "ราคาที่ดิน" ไม่ได้ปรับลดลง เพราะที่ดินมีจำกัด ไม่มีของใหม่ รวมถึงที่ดินอยู่ในมือคนมีเงินอยู่แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ไม่รีบร้อนที่จะขายที่ดินออกมา ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นเรื่อยๆ น่าเป็นห่วง

"ถามผมในเรื่องนโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าในความคิดผมน่าจะเอาความชำนาญของเราไปช่วยภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยตนจะนัดและเข้าไปพบท่านนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 3 สมาคม ทั้งสมาคมอาคารชุดไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอต่างๆ โดยที่ก่อนหน้านี้ ได้รับทราบข้อมูลจากสมาคมโรงแรมไทยไปแล้ว จะทำอย่างไรให้ธุรกิจโรงแรมสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ซึ่งหากมีการส่งเสริมในเรื่องการจัดสัมมนาทั้งในกรุงเทพฯ หรือกระจายไปตามหัวเมืองจะช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ขายอาหารได้ เนื่องจากในภาพรวมของธุรกิจโรงแรมตอนนี้ อัตราการจ้างงานอยู่ในระดับแค่ร้อยละ 50 เท่านั้น" นายนริศ กล่าวถึงแนวทางช่วยเหลือภาคธุรกิจและการแก้ปัญหาเรื่องว่างงานในระยะข้างหน้า

ชูแนวทางเพิ่มเงินในกระเป๋าให้คนมีบ้าน

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องจับตามองและเป็นปัญหาร่วมกัน คือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะกลับมาอีกครั้ง ตรงนี้กระทบ เพราะมีผลต่ออำนาจการซื้อจะลดลงและการผ่อนบ้านที่มากขึ้น ดังนั้น ความเห็นส่วนตัว สิ่งที่เรามองควรมีมาตรการเข้ามาเสริม ต่อยอดจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้แก่

1.มาตรการทางภาษี การให้ผู้ที่ผ่อนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสามารถนำค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยมาหักลดหย่อนได้มากขึ้น เป็นการคืนให้คนที่เสียภาษี เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เสียภาษี (VAT) จากการบริโภค ทั้งนี้ อาจจะพิจารณาในรูปแบบถ้าเป็นที่อยู่อาศัยราคาถูก สามารถหักลดหย่อนได้เยอะขึ้น แต่ถ้าเป็นบ้านแพงลดหย่อนได้ระดับหนึง เป็นต้น (ปัจจุบัน ดอกเบี้ยบ้านสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)

2.ปรับปรุงที่อยู่อาศัย สามารถขอเครดิตภาษีได้ ซึ่งเป็นการสร้างคุณภาพชีวิตให้คน ขณะเดียวกัน จะช่วยให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ส่งเสริมให้ผู้รับเหมารายย่อยเข้าไปรับงานปรับปรุงบ้าน ทำให้มีงานทำ มีรายได้

และ 3.ประเด็นเรื่องการเช่าซื้อที่อยู่อาศัย ทำอย่างไรที่จะทำให้ระบบการเช่าซื้อเข้ามาช่วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้เช่า และยังสามารถให้โอกาสแปลงสิทธิในการเป็นเจ้าของได้ เนื่องจากในสถานการณ์ขณะนี้ คนกังวลการตกงาน จะไม่มีรายได้ไปชำระการผ่อนค่าบ้าน การเช่าจะเป็นที่ดีกว่า ซึ่งตลาดเช่า เรื่องของผู้พัฒนาโครงการมีส่วนสำคัญ อย่างเช่น การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ที่ผู้ซื้อบ้านกับ กคช.สบายใจ ไม่ถูกโกง

ผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลตามให้ทันเทรนด์โลกยุคใหม่

นายนริศ กล่าวถึงโอกาสในเรื่องเศรษฐกิจใหม่ๆ ว่า เราต้องผลักดันหรือตามเทรนด์ของโลกใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การดูแลเรื่องคริปโตฯ ที่เราอยากสนับสนุน เพียงแต่เราต้องมีการควบคุมที่เหมาะสม

"ผมเคยไปดูงานที่ประเทศลิทัวเนีย ซึ่งอยู่ทางยุโรปตะวันออก ประเทศนี้ชัดเจนเลย ทุกอย่างจะเป็นดิจิทัลหมด นโยบายจะส่งเสริมให้คนเก่งเรื่องดิจิทัลมาเปิดธุรกิจ มีระบบการเงินที่ล้ำสมัยที่ไม่ต้องพึ่งระบบธนาคาร เรื่องดิจิทัลเราต้องทำให้เกิด เพราะเราไม่สามารถไปแข่งกับประเทศที่มีค่าแรงถูกๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่ค่าแรงถูกกว่าประเทศไทย เราจะเห็นค่ายรถยนต์ไปตั้งฐานผลิตที่ประเทศอินโดนีเซียและการเมืองที่นิ่งกว่า ดังนั้น เราต้องทำอะไรที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีมาร์จิ้นเยอะ ต้องขยายหรือส่งเสริมให้มากกว่าที่จะอยู่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี หรือจะส่งเสริมให้เกิดขึ้นที่เมืองใหม่ก็ได้" นายนริศ กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น