“คลัง” หั่นเป้าหมายจัดเก็บรายได้ปีงบ 65 ให้สรรพสามิต 3 หมื่นล้านบาท หลังปฏิรูปโครงสร้างภาษียังไม่คืบ รับลดภาษีดีเซล 3 บาทต่อลิตรทำภาษีหาย 1.7 หมื่นล้านบาท แต่เชื่ออานิสงส์เศรษฐกิจฟื้นดันผลงานกระฉูด
วันนี้ (18 ก.พ.) นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2565 ของกรมสรรพสามิต อยู่ที่ 5.97 แสนล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้มีการรวมรายได้จากการปฏิรูปโครงสร้างภาษี ที่พบว่าปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ตามกำหนด จำนวน 3 หมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมากรมฯ ได้หารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอลดเป้าหมายการจัดเก็บในส่วนนี้ลง ดังนั้นเป้าหมายการเก็บรายได้ของกรมฯ ในปีงบประมาณ 2565 จึงอยู่ที่ 5.6 แสนล้านบาท โดยเป้าหมายดังกล่าวยังไม่รวมผลกระทบจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งจะทำให้รายได้หายไปอีก 1.7 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการจัดเก็บรายได้ของกรมฯ ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.64-ม.ค.65) อยู่ที่ 1.86 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณราว 1 หมื่นล้านบาท แต่เป็นไปตามเป้าหมายใหม่ที่ได้ขอปรับลดจากกระทรวงการคลัง ซึ่งรายได้ภาษีสรรพสามิตทุกประเภท โดยเฉพาะภาษีน้ำมัน รถยนต์ และเบียร์มีแนวโน้มสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ภาษีน้ำมันที่หายไป 1.7 หมื่นล้านบาท จากการลดภาษีน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือนนั้น เป็นการช่วยเหลือประชาชน เพื่อตรึงระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยประคองเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีที่จะโตได้มากกว่าเศรษฐกิจอย่างแน่นอน” นายลวรณ กล่าว
นายลวรณ กล่าวอีกว่า เชื่อว่าการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเป็นเวลา 3 เดือนน่าจะเพียงพอ ไม่ต้องมีการขยายเวลาเพิ่ม เนื่องจากระหว่างนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะไปเร่งแก้ปัญหาเรื่องบัญชี ซึ่งจะทำให้สามารถกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องกองทุน จำนวน 3 หมื่นล้านบาท ได้ในเดือน มี.ค.2565 และจะทำให้มีเงินมาอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงได้อย่างเพียงพอ
“กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงเป็นกลไกหลักในการดูแลราคาน้ำมัน แต่วันนี้กองทุนฯ ติดขัดเรื่องบัญชี ทำให้การกู้เงินจำนวน 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่สามารถทำได้ และมองว่าการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นเวลา 3 เดือนนั้นเป็นเวลาที่พอเหมาะพอสมแล้ว ส่วนที่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าจะต้องมีการขยายเวลาการลดภาษีต่อไปอีกหรือไม่นั้นคงต้องประเมินอีกที แต่เชื่อว่าเมื่อกองทุนฯ สามารถกู้เงินได้ 3 หมื่นล้านบาทแล้ว น่าจะเข้ามาบริหารจัดการสถานการณ์ราคาน้ำมันได้” นายลวรณ กล่าว