หุ้นกลุ่มโรงกลั่นฟื้นตัวแรง หลังราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งแตะ 90 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาเรล ทำนิวไฮรอบ 7 ปี ขณะค่าการกลั่นกระโดดตาม ส่งผลดีต่อบริษัทกลั่นน้ำมันเต็ม ๆ ดันผลประกอบการแกร่งกำไรทะยาน โบรกฯเชียร์ TOP ตัวนำกลุ่มส่วนหุ้นในกลุ่มเหลือก็สดใสไม่ต่างกัน ขณะ SPRC ฟื้นกำไรชัดเจน ทำให้สามารถจ่ายปันผลได้ ลุ้นความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย มีโอกาสดันราคาน้ำมันแตะ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล
หลังจากข่าวที่ชัดเจนของปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรที่เพิ่มปริมาณการผลิตตามข้อตกลงเดิมที่ 4 แสนบาร์เรลต่อเมื่อในเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา แม้ว่ากลุ่มประเทศผู้ใช้น้ำมันจะออกมาเรียกร้องให้ปรับเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าข้อตกลงที่ได้กำหนดไว้ไม่เพิ่มไปจากนี้ ขณะที่สถานการณ์ของโรคระบาดไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เพราะทุกประเทศทั่วโลกได้รับวัคซีนและฉีดให้กับประชาชนครบถ้วน ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น การเปิดประเทศในหลายประเทศจึงเกิดขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมและฟันเฟืองทางเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ส่วนหนึ่งได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น ภายหลังจากการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมัน
เพราะปลายปี 2564 ราคาน้ำมันผันผวนมาก จากราคาเหนือ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล กลับดิ่งลงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ภายในเดือนเดียวกัน ทว่าต้นปี 2565 ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นและขยับเพิ่มต่อเนื่อง กระทั่งยืนเหนือ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลกระทั่งวันนี้ทะลุ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้น หุ้นกลุ่มพลังงานอย่างโรงกลั่นคึกคัก
บริษัทต้นทางพลังงานทั้งหลายจึงจะได้อานิสงส์จากความต้องการใช้น้ำมัน ส่งผลดีต่อทั้งบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมัน รวมทั้ง “โรงกลั่นทั้งหลายอย่าง” บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC , บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP,บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ล้วนได้รับผลดี “จากตารางงบการเงินพบว่ากำไรสุทธิงวดล่าสุดไตรมาส 3 ปี 64 ทะยานทุกบริษัท”
กลุ่ม ปตท. รับอานิสงส์ น้ำมันพุ่ง
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS เผยว่า ราคาน้ำมันโลกที่ปรับขึ้นนิวไฮในรอบ 7 ปี ล่าสุดขึ้นไปยืนเหนือ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น ประเมินว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้หุ้นน้ำมันได้รับประโยชน์ อาทิเช่น PTTEP ให้ราคาเป้าหมาย 149 บาท , PTT เป้าหมาย 49.5 บาท และกลุ่มโรงกลั่น TOP เป้าหมาย 63 บาท
" การคาดการณ์ในตลาดโลก เช่น โกลแมน แซค เจพี มอร์แกน ส่วนใหญ่มีมุมมองราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปี 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึงระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งปัจจุบันยังมีส่วนต่างอีก 11%" นายฐกฤต กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาหุ้นในกลุ่มน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีมา 10% ยังน้อยกว่าราคาน้ำมันที่ขึ้นมาแล้วจากต้นปี 17-18% จึงมองว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวยัง Laggard สามารถปรับขึ้นได้อีก อีกทั้งปีก่อนที่สถานการณ์ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่อง มองว่าปี 65 ยังมีโอกาสสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ จึงแนะนำ “ซื้อ”
พลังงานรับผลดี กลุ่มแบงก์รับอานิสงส์
นายธีรศักดิ์ ธนวรากุล ผู้อำนวนการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) เผยว่ากรณีราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงช่วงนี้ มาจากสต๊อกน้ำมันดิบที่ลดลง โดยรายงานของ EIA ระบุว่าสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตามปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เกินระดับ 95-97 ดอลลาร์/บาร์เรล หากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย ไม่รุนแรงถึงขั้นสงคราม แต่หากเกิดขึ้นมีโอกาสราคาน้ำมันแตะระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่มองว่าเป็นระดับชั่วคราวเท่านั้น ก่อนจะปรับตัวลดลงมา
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวแรงมากขึ้นยิ่งเร่งให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น มองหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะได้รับอานิสงส์จากกรณีนี้ ยังคงแนะนำซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นคือกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ทั้งน้ำมันและโรงกลั่น อย่าง PTTEP , TOP , SPRC , BCP , IRPC ,ESSO
TOP ผลงานQ4พุ่งรับค่าการกลั่นแพง
“ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)” ประเมิน TOP เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการ Reopening และเกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ ซึ่งโรงกลั่นปลายทางคือการนำน้ำมันไปขายให้กับสถานีบริการน้ำมัน สอดคล้องกับธีมการลงทุนปี 65 และคาดกำไรปกติไตรมาส 4 ปี 64 น่าจะดีขึ้นเทียบไตรมาสก่อน จากค่าการกลั่นและน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ให้เป้าหมาย 65 บาท
ฝ่ายวิจัย “ บล.เอเชีย เวลท์ ” คงคำแนะนำ "ซื้อ" จากมุมมองที่เป็นบวกในช่วงไตรมาส 4 ปี 64 ถึงไตรมาสแรกปี 65 โดยเฉพาะค่าการกลั่นและกำลังกลั่นที่จะกลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เพียงพอที่จะชดเชยความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจจากต้นทุนน้ำมันดิบ ที่เพิ่มขึ้น คงแนะนำ "ซื้อ" ให้เป้า 66 บาท
“บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์” คาดกำไรไตรมาส 4 ปี 64 TOP เติบโตสูงทั้งเทียบไตรมาสและปีก่อน จากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นเด่น และปริมาณขายเพิ่มขึ้นตามความต้องการน้ำมันฟื้นตัว แนวโน้มระยะยาวเป็นบวก จากกำลังการกลั่นใหม่ส่วนเพิ่มที่จะสร้างเสร็จ ซึ่งจะทำให้ปริมาณขายน้ำมันเพิ่มขึ้นมาก ส่วน Valuation ยังถูก ด้วยซื้อขายด้วย P/BV เพียง 0.9x เท่า แนะนำ "ซื้อ" ให้เป้าหมาย 69 บาท
“บล. เอเซีย พลัส” ระบุกลุ่มโรงกลั่น ยังคงมุมมองโรงกลั่นให้เล่นตามฤดูกาลเช่นเดิม จากค่าการกลั่นจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 4 ยาวต่อเนื่อง ช่วงไตรมาส 1 ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว ก่อนที่จะค่อย ๆ ปรับตัวลงในไตรมาส 2 เล็กน้อย โดย Top pick แนะนำซื้อ TOP มีราคาเป้าหมายที่ 63 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิงวด ไตรมาส 4 ปี 64 อยู่ราว 4.9 พันล้านบาท ปรับตัว เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว 137.6% โดยกำไรปกติคาดเพิ่มขึ้น 67.5% เทียบไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากธุรกิจโรงกลั่นที่ฟื้น แม้จะถูกกดดันจากธุรกิจอะโรเมติกส์และน้ำมันหล่อลื่นที่อ่อนตัวลง ส่วนกำไรปกติไตรมาส 1 ปี 65 จะเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากยังอยู่ในช่วง high season ของโรงกลั่น
“บล. คันทรี่ กรุ๊ป ” มอง TOP แนะให้ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 67 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง 5.1 พันล้านบาท หรือลดลงจากปีก่อน 30% แต่เพิ่มขึ้น146% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน หนุนจากค่าการกลั่นที่คาดสูงขึ้นเป็น 5.5 ดอลลาร์สหรัฐ/bbl จาก 1.6 ดอลลาร์สหรัฐ/bbl ในไตรมาส 3 ปี 64 เป็นผลจากส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง
SPRC กำไรสต๊อกน้ำมัน
“บล.กรุงศรี” ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เกิดเหตุน้ำมันรั่ว ของ SPRC มีประกันครอบคลุมความเสียหายต่อทรัพย์สิน, การหยุดชะงักของธุรกิจ, ประกันขนส่งทางทะเล, และประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ซึ่งเหตุการณ์นี้จะไม่กระทบการดำเนินงานของโรงกลั่น โดยคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 12.00 บาท และไม่กระทบการดำเนินงานโรงกลั่นเนื่องจาก SPRC มีน้ำมันในคลัง 4.5 ล้านบาร์เรล สำหรับใช้ 30 วัน และ SPRC สามารถส่งเรือขนาดเล็กไปรับน้ำมันดิบจากเรือขนาดใหญ่เพื่อรอ SPM ในการซ่อมบำรุง เพราะน้ำมันรั่วที่จุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) SPRC คาดน้ำมันดิบ 160-180k ลิตรหรือน้ำมันดิบ Murban 1.0-1.1k บาร์เรล ใกล้นิคมฯของมาบตาพุด เมื่อคืนวันที่ 25 ม.ค. และควบคุมสถานการณ์ได้ภายในช่วงกลางวันของ 26 ม.ค.
“ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ” ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการของ SPRC ทั้งกำไร สุทธิและกำไรปกติปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยไตรมาส 4 ปี 2564 คาดจะมีกำไรสุทธิ 1.5 พันล้านบาท โตสูงทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหน้า และเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากมีกำไรสต๊อกน้ำมัน 885 ล้านบาท เพราะค่าการกลั่นพุ่งจะดันกำไรปกติพลิกเป็นบวกในรอบ 6 ไตรมาส หนุนจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงปรับกำไรสุทธิปี 64 ขึ้น 17% เป็น 4.4 พันล้านบาท และ หากเป็นไปตามคาดจะช่วยล้างผลขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 16 ล้านเหรียญฯ ได้ทั้งหมด และ SPRC จะสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้อีกครั้ง และมองปี 65 จะโตต่อเนื่องและคาดการณ์กำไรที่ 3.5 พันล้านบาท แต่ขยับราคาเหมาะสมเป็น 11.30 บาท
IRPC ฟื้นกำไร
จากตัวเลขผลประกอบการ IRPC สิ้นปี 63 ตัวเลขขาดทุนมากถึง 6,151.70 ล้านบาท แต่ผลจากราคาน้ำมันที่ขยับเพิ่มสูง ทำให้ IRPC ก็มีกำไรทันที จากผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 64 มีกำไรมากถึง 12,310.42 ล้านบาทแล้ว ขณะที่งวดเดียวกันของปี 63 ขาดทุนสูงถึง 7,759.84 ล้านบาท และต้องรอดูผลประกอบการที่จะแจ้งออกมา แม้ประเมินผลกำไรไตรมาส 4 ระดับต่ำสุดปี 64 ก็ยังได้ข้อสรุปว่าปี 64 IRPC จะมีกำไรรวมได้ถึง 14,000 ล้านบาท
“บล.กรุงศรีฯ” คาดกำไรไตรมาส 4 IRPC ที่ 2.1พันล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีก่อน เพราะโรงกลั่นแข็งแกร่ง แต่ธุรกิจปิโตรเคมีอ่อนแอ คงคำแนะนำ “ ถือ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 4.0บาท (จาก 4.5บาท) เพื่อสะท้อนแนวโน้มปิโตรฯที่อ่อนแอ คาด IRPC จะบันทึกกำไรสต๊อก 1.8 พันล้านบาท ส่งผลให้ไตรมาส 4 ปี 64 กำไรพุ่ง คาดส่วนต่างปิโตรฯจะอ่อนแอใน 65-66 และคาดอัตราการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 90% ในปีนี้จาก 89% ใน 64 ทำให้ลดผลกระทบจากธุรกิจปิโตรฯอ่อนแอคาดอัตราการกลั่นทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนในไตรมาสแรกปี 65 ที่ 93% ซึ่งเป็นระดับที่ดีที่สุดในสัดส่วนน้ำมันดิบของบริษัทในปัจจุบัน
“บล.ฟิลลิป ” แนะนำ "ทยอยซื้อ" IRPC ให้ราคาเป้าหมาย 4.30 บาท/หุ้น คาดกำไรไตรมาส 4 ปี 64 จะลดลงเล็กน้อย จากธุรกิจปิโตรเคมีอ่อนตวลงตามส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ ที่ลดลงหลังอุปทานใหม่ทยอยเพิ่มขึ้น แม้ธุรกิจปิโตรเลียมที่กลับมาฟื้นตัวหลังการคลายล็อกดาวน์ทําให้การเดินทางกลับมาเพิ่มขึ้น ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปทั้งเบนซินและดีเซล ขณะกำลังการกลั่นเพิ่มเป็น ส่วนต่างราคาผลิตภัณ 200 KBD คาดไม่สามารถชดเชยการอ่อนลงของกลุ่มปิโตรเคมีได้ทั้งหมด ทําให้ Market GIM จะลดลง คาดกําไรสุทธิ 2,119 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน
แนวโน้มการดําเนินงานไตรมาส 4 จะน้อยกว่าที่เคยคาดไว้ทําให้ทางฝ่ายปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ลงจากเดิมลง 11% เหลือ 14,330 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 6,152 ล้านบาท คาดผลงานปี 65 อ่อนตัวลง แม้ในส่วนธุรกิจปิโตรเลียมจะมาช่วยหนุนก็ตาม แต่ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีในปีก่อนหน้าที่ดีกว่าปกติและในปีนี้อุปทานใหม่จะทยอยเข้ามาเต็มที่ ทําให้คาดส่วนต่างราคาปิโตรเคมีจะลดลงมากตามอุปทานที่เพิ่มขึ้น คงแนะนํา “ทยอยซื้อ” แต่ปรับราคาพื้นฐานลงเหลือ 4.30 บาท
PTTGC กำไรปี 65 แข็งแกร่ง
“บล.เคทีบีเอสที ”ประเมินหุ้น PTTGC คาดกำไรไตรมาส 4 อ่อนตัวจาก Aromatics spread ที่ลดลงและแผนปิดซ่อมบำรุง คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 75.00 บาท อิง PBV เป้าหมายที่ 1.00x (เท่ากับ -0.25SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปี ย้อนหลัง) มีมุมมองเป็นกลาง บริษัทตั้งเป้ าจะเพิ่มปริมาณยอดขายรวมในปี 65 +7% จากปีก่อน จากการรับรู้ ปริมาณยอดขายเต็มปี ของโครงการโอเลฟินส์หน่วยใหม่ (ORP) และการรับรู้โครงการ PO/Polyol ส่วนกำไรของธุรกิจโอเลฟินส์, อะโรเมติกส์ และ Performance materials and chemicals (PMC) มีแนวโน้มลดลงสู่ระดับปกติ จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (product spread) ที่อ่อนตัวจากการเข้ามาของอุปทานใหม่ คาด PTTGC จะรายงานกำไรไตรมาส 4 ที่ 5.9 พันล้านบาท ลดลงจากทั้งเทียบไตรมาสและกำไรจากปีก่อน คงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 29.4 พันล้านบาท ลดลงจาก 51.2 พันล้านบาท ในปี 64 คาดจะมี upside จากการรวมผลประกอบการของบริษัท Allnex Holding GmbH (ANHG) เข้ามาช่วยชดเชยได้ และเชื่อว่าราคาหุ้นที่ผ่านมาได้สะท้อนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิ โตรเคมีที่อ่อนแอไปแล้ว ขณะธุรกิจโรงกลั่นก็มีแนวโน้มฟื้นตัวจาก crack spreadที่แข็งแกร่งในปี65 คงประมาณการกำไรสุทธิปี 65 ที่ 29.4 พันล้านบาท ลดลงจาก ปี 64 แต่คงราคาหุ้นเป้าหมายปี 65 ที่ 75.00 บาท
“บล.ทรีนีตี้ ” คงคำแนะนำ "ซื้อ " หุ้น PTTGC ราคาเป้าหมายอ้างอิง 80 บาท อิง +1SD PBV ที่ 1.05 เท่า ราคาหุ้นปรับลดลง 10% ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เชื่อว่าสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอลงจากธุรกิจปิโตรเคมีบ้างแล้ว คาด PTTGC รายงานกําไรไตรมาส 4 ที่ 5.7 พันล้านบาท หรือลดลง 10% จากปีก่อนและไตรมาสก่อน คาดจะมีผลต่อ stock gain 1 พันล้านบาท ถ้าไม่นับรวมรายการพิเศษ และ stock คาดธุรกิจโอเลฟินส์จะมี EBITDA ปรับตัวลดลงเหลือ 3.3 พันล้านบาท หรือ 25% จากปีก่อน และ 50% จากไตรมาสก่อน เพราะต้นทุนราคาก๊าซเพิ่มขึ้น คงประมาณการกำไรปี 65 ที่ 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน เพราะโรงกลั่นกลับมาฟื้นตัวดี
BCP ฟื้น กำไรสต๊อกน้ำมันอื้อ
“บล. คันทรี่ กรุ๊ป ” หรือ CGS มอง BCP ให้ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 35 บาท คาดกำไรปกติไตรมาส 4 ปี 64 จะปรับตัวดีขึ้นทั้ง ทั้งเทียบไตรมาสและปี แรงหนุนจากธุรกิจโรงกลั่นที่ขยายตัวตามค่าการกลั่น ขณะภาพรวมไตรมาสแรกปี 65 ยังเป็นบวกต่อเนื่องหนุนจากค่าการกลั่นและอัตราการกลั่นที่สูงขึ้น คาดค่าการกลั่นปี 65 จะกลับไปเท่ากับช่วงปี 63
“บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ” กล่าวคาดการณ์ว่า ผลการดำเนินงานกลุ่มโรงกลั่นจะฟื้นตัวได้แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มพลังงานต้นน้ำ, และกลุ่มปิโตรเคมี คาดการณ์ว่าค่าการกลั่น (GRM) ยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หนุนผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 64 ต่อเนื่องถึงปี 65 ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ทั่วโลก ส่งผลให้อัตราการกลั่นพุ่ง 100% ส่งผลให้โรงกลั่นมีโอกาสทำกำไรได้ดี
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่มีธุรกิจค้าปลีก และสถานีบริการน้ำมันยังมีปัจจัยหนุนจาก "ค่าการตลาด" ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ รวมถึงการเร่งตัวขึ้นของ ราคาน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติจะหนุนให้มีกำไรสต๊อกน้ำมันได้ เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิปี 64 BCP ที่ 6.6 พันล้านบาท หรือพลิกจากขาดทุน 6.9 พันล้านบาท เมื่อเทียบปีก่อน แนะนำ "ซื้อลงทุน" ราคาเหมาะสม ปี 2565 ที่ 34 บาท
จากการประเมินของบรรดากูรูทั้งหลาย จะพบว่าบริษัททั้งผลิตและจำหน่ายแม้กระทั่งโรงกลั่นเอง รับผลบวกราคาน้ำมันที่ขยับต่อเนื่องไปอีกระยะ หุ้นในกลุ่มพลังงานหลายส่วนได้รับผลดี ขณะหลายบริษัทที่ต้องใช้วัตถุดิบผลพวงจากการกลั่น จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะราคาผลิตภัณฑ์หลายอย่างที่ได้จากการผลิตและกลั่นน้ำมันย่อมมีราคาสูงตาม โดยเฉพาะยางมะตอย