จัดได้ว่าเป็นปีชงของ Facebook ขนานแท้ เพราะแม้จะเป็นบริษัทที่ทรงอิทธิพลและบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี แต่ มูลค่าตลาดของ Meta จากผลประกอบการงวดบัญชีล่าสุดของ Facebook กลับลดลงพรวดพราดกว่า 2 แสนล้านเหรียญ ซึ่งผลสะท้อนที่เกิดขึ้นในทันทีคือ นักลงทุนลดโอกาสในการเข้าลงทุน ส่วนหนึ่งมองว่าเทรนของโซเชียลมีเดียมันเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งสงครามของโซเชียลมีเดียที่มีการแข่งขันที่รุนแรงและความนิยมของแพล็ตฟอร์มคู่แข่งที่เรตติ้งพุ่งกระฉูดยอดนิยมมากกว่า โดยเฉพาะบริการเครือข่ายโซเชียลที่เน้นวิดีโอ เช่น Tik Tok
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา Financial Times รายงานว่า บริษัท Meta หรือชื่อเดิมคือ Facebook ได้ประกาศผลประกอบการประจำปี 2564 โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 3.9 ล้านล้านบาท เติบโต 37% กำไร 1.3 ล้านล้านบาท เติบโต 35% โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ออกเป็นจากค่าโฆษณา 3.8 ล้านล้านบาท เติบโต 37% ซึ่งปัจจัยหลักมาจากจำนวนโฆษณา (Ad Impression) เพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่ราคาโฆษณาเพิ่มขึ้นมากถึง 24% ขณะที่ในส่วนของ Reality Labs ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ อย่างเช่น AR และ VR มีรายได้ประมาณ 7.5 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 100% แต่ในทางกลับกันราคาหุ้น กลับดิ่งหัวลงอย่างน่าตกใจ
ปัจจัยหลักประการหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาหุ้นปักหัวลง ได้แก่จำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Social Media ซึ่งในไตรมาสนี้ยอดจำนวนผู้ใช้ไม่เติบโตตามที่ได้ประเมินไว้ รวมถึงยอดผู้ใช้งานต่อวันและต่อเดือนที่แม้จะมีการเติบโต ซึ่งบริษัทประเมินว่ารายได้ในไตรมาสแรกของปี 2565 จะมีการเติบโตเหลือเพียงแค่ 3-11% เท่านั้น
ขณะเดียวกันเหตุผลที่บริษัทถดถอยลงนั้นมาจากผลกระทบทางด้านยอดวิวและราคาโฆษณา โดยเฉพาะมาตรฐานการรักษาสิทธิความเป็นส่วนตัวของบริษัท Apple ผู้ผลิตและจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบรนด์ iPhone ที่ได้อัพเดตเฟิร์มแวร์เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากขึ้น โดยปิดกั้นการติดตาม และการสอดแนมแอบฟังของแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆหรือแม้กระทั้งเซิร์สเอนจิ้นเบอร์ 1 ของโลกอย่าง Google ก็พลอยโดนหางเลขได้รับผลกระทบตรงนี้ไปด้วย ซึ่งหลังจากการปล่อยให้ผู้ใช้มือถือไอโฟนอัพเดต iOS กำหนดสิทธิ์ความเป็นส่วนตัวทำให้ลูกค้าที่ใช้บริการโฆษณาของ Facebook ไม่สามารถวัดผลการโฆษณาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดที่กระจายไปทั่วโลก กดดันให้เศรษฐกิจในทุกประเทศทรุดตัวลง หลายประเทศประสบปัญหาเงินเฟ้อและซัปพลายเชน สินค้าขายได้น้อยลงเนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่จำกัด ทำให้ Global brand - Local Brand หรือแม้กระทั่ง SME ต้องลดความถี่ในการอัดฉีดงบโฆษณาลง อีกทั้งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนอย่างมาก ขณะที่การประกาศรีแบรนด์เป็น Meta ของ Facebook ตามที่นักวิเคราห์ประเมินไว้เพื่อช่วยให้สถานการณ์ของบริษัทฟื้นตัวดีขึ้น และมองว่าส่วนหนึ่งจะช่วยแก้ปัญหาถดถอยของบริษัทได้จากเทรนการเสพโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนไป และคู่แข่งอย่าง TikTok ที่มีกลยุทธการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
Financial Times รายงานว่าหุ้นของบริษัทร่วงลงมากถึง 20% ในวันพุธที่ผ่านมา
“ผู้คนมีตัวเลือกมากมายสำหรับวิธีที่พวกเขาต้องการใช้เวลา และแอพอย่าง TikTok ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว” Mark Zuckerberg หัวหน้าผู้บริหารกล่าว