Andrew 'Twiggy' Forrest มหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย ได้เดินหน้ายื่นฟ้องดำเนินคดีทางอาญากับ Facebook (หรือ Meta) ยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวหาว่าบริษัทได้ละเมิดกฎหมายฟอกเงินของออสเตรเลียโดยล้มเหลวในการป้องกันโฆษณา cryptocurrency ที่เป็นเท็จ
จากการเปิดเผยของสำนักข่าว ABC ระบุว่า Andrew 'Twiggy' Forrest อ้างว่า Facebook นั้น "ประมาทเลินเล่อ" โดยล้มเหลวในการลบโฆษณาหลอกลวง cryptocurrency ซึ่งในข้อมูลปลอมด้วยการนำภาพของเขาไปใช้แอบอ้าง โดยเขากล่าวว่า การออกมายื่นฟ้องดังกล่าวนั้น ก็เพื่อปกป้องชาวออสเตรเลียจากการตกเป็นเป้าของมิจฉาชีพที่หลอกลวงบนไซต์โซเชียลมีเดีย โดยการพิจารณาคดีเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องนี้จะจัดขึ้นที่ศาลผู้พิพากษา รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียในเดือนหน้า
ขณะที่ในกระบวนการพิจารณาคดีในศาลผู้พิพากษาของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย นาย Forrest กล่าวหาว่าบริษัทล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการลบโพสต์โดยนักต้มตุ๋นที่ใช้ภาพของเขาเพื่อส่งเสริมการลงทุน cryptocurrency ซึ่งปรากฏบนเว็บไซต์ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2562 โดยเขาอ้างว่าเฟซบุ๊ก "ประมาทเลินเล่อ" และล้มเหลวอย่างมากในการลบโฆษณาเท็จบนแพลตฟอร์ม และบริษัทละเมิดกฎหมายฟอกเงินของออสเตรเลียโดยไม่ได้ดำเนินการมากพอที่จะหยุดการหลอกลวง
อย่างไรก็ดีแม้ว่า Facebook ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น Meta แล้วแต่กลับล้มเหลวในการสร้างการควบคุมหรือวัฒนธรรมองค์กรเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบถูกใช้เพื่อก่ออาชญากรรม ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบริษัทเน้นโฟกัสไปที่ผลกำไรในการประกอบธุรกิจ มากกว่าธรรมาภิบาลในการสร้างสังคมที่ปลอดภัยแห่งการอยู่ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการยื่นฟ้องคดีอาญาในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากนาย Forrest ขอให้ Facebook ป้องกันไม่ให้มีการใช้ภาพของเขาเพื่อส่งเสริมแผนการเงินดิจิตอล รวมถึงในจดหมายเปิดผนึกถึง Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยในแถลงการณ์ นายฟอร์เรสต์กล่าวว่าเขากำลังเปิดตัวทีมกฏหมาย ในการดำเนินการฟ้องร้อง Mark Zuckerberg CEO ของ Facebook ซึ่งอาจเป็นที่แรกของโลกโดยกระทำในนามของชาวออสเตรเลียเพื่อปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัว ข้อมูล และความปลอดภัยจากมิจฉาชีพทางไซเบอร์ จากการเน้นหาผลประโยชน์ของ Facebook จนปล่อยให้ผู้ใช้โซเชียล "ถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพ"
“ผมกังวลว่าชาวออสเตรเลียผู้บริสุทธิ์จะถูกหลอกลวงผ่านโฆษณาคลิกเบตบนโซเชียลมีเดียเฟสบุ๊ก” เขากล่าว
ขณะเดียวกัน นายฟอร์เรสต์ยังกล่าวอีกว่าเขาต้องการให้ผู้คนจากทั่วโลกตระหนักถึงภัยคุกคามดังกล่าว และควรได้รับการปกป้องให้ปลอดภัยจากการปล่อยปละละเลยของผู้ให้บริการแพล็ตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และรูปแบบการหลอกลวงที่คล้ายคลึงกันในสื่อสังคมออนไลน์บนแพล็ตฟอร์มอื่นๆอีกด้วย
“ผมต้องการให้บริษัทโซเชียลมีเดียซึ่งมีกำไรจำนวนมหาศาลต่อปีหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องผู้คนที่อ่อนแอ เพราะผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายและตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงที่น่ากลัวเหล่านี้ด้วยเงินออมที่หามาอย่างยากลำบาก ซึ่งสิ่งที่ต้องทำมากกว่านี้เพื่อให้แน่ใจว่าการฉ้อโกงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถูกกำจัดให้หมดสิ้นไป ” เขากล่าว
ทั้งนี้ข้อกล่าวหาดังกล่าวอยู่ภายใต้ส่วนที่ 10 ของประมวลกฎหมายอาญาของเครือจักรภพ โดยได้รับความยินยอมจากอัยการสูงสุดแห่งเครือจักรภพ นายฟอร์เรสต์กล่าว
ขณะที่โฆษกจาก Meta กล่าวว่าบริษัทไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของศาลได้ แต่บริษัทจะได้จัดทำคำชี้แจงที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการหลอกลวงบน Facebook
“เราไม่ต้องการให้โฆษณาที่พยายามหลอกลวงผู้คนด้วยเงินหรือทำให้ผู้คนบน Facebook เข้าใจผิด ซึ่งต่อจากนี้โฆษณาเหล่านี้เป็นการละเมิดนโยบายของเราและไม่เป็นผลดีต่อชุมชนของเรา นอกจากนี้ เราจะใช้แนวทางที่หลากหลายในการหยุดโฆษณาเหล่านี้ เราไม่ได้ทำงานเพียงเพื่อตรวจจับและปฏิเสธโฆษณาเท่านั้น แต่ยังบล็อกผู้โฆษณาจากบริการของเรา และในบางกรณี ดำเนินการศาลเพื่อบังคับใช้นโยบายของเรา โดยทาง Meta มุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้ออกจากแพลตฟอร์มของเรา” โฆษกกล่าว
ก็คงต้องมาตามดูกันต่อไปว่า ศาลจะตัดสินคดีการฟ้องร้องดังกล่าวนั้นอย่างไร ขณะที่ในส่วนของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเคยมีกรณีการฟ้องร้องระหว่างสำนักข่าว และ Facebook เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาจากการแอบนำคอนเทนต์ข่าวไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่ขออนุญาติ และไม่ได้แบ่งส่วนแบ่งรายได้ที่เกิดขึ้นของคอนเทนต์นั้นให้กับสำนักข่าวเจ้าของคอนเทนต์ นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังเลือกปฏิบัติด้านการเมือง และการเหยียดเชื้อชาติอย่างสุดโต่ง จากกรณีที่ชาวโรฮิงญา ได้ยื่นฟ้องต่อ Facebook ในการนำเสนอข้อมูลไม่รอบด้านเพื่อสร้างความเกลียดชัง หรือแม้กระทั่งการขายพื้นที่โฆษณา "คลิกเบต FAKE NEWS" ของเฟสบุ๊ก โดยไม่สนใจผลกระทบที่เกิดขึ้น เพียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่มาในรูปของรายได้และกำไร